สันทิฏฐิโก-อกาลิโก-ปัจจัตตัง

จึงว่า...คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่จำกัดเรื่องเชื้อชาติ เรื่อง
ตระกูล เรื่องวรรณฯลฯ ใครปฏิบัติรู้ทั้งนั้น ไม่จำกัดกาล คำสอนของ
พระพุทธเจ้าจึงเป็นสากล ไม่เป็นของผู้ใดโดยเฉพาะ จะสงวนสิทธิ์ก็
ไม่ได้ คนไทยถือศาสนาพุทธปฏิบัติ-ก็รู้ คนไทยถือศาสนาคริสต์ปฏิบัติ
-ก็รู้ หรือคนฝรั่งเศลถือศาสนาคริสต์ปฏิบัติ-ก็รู้...เพียงแต่ให้รู้เรื่อง

รู้ภาษากัน ถ้าพูดภาษากันไม่รู้เรื่องก็ต้องสอนกันในระดับใจ เพราะไม่
รู้ภาษากันก็ต้องทำให้ดู อยู่ให้เห็น...'ทำให้ดู' คือทำอย่างนี้ : (หลวงพ่อ
สาธิตวิธีปฏิบัติ)-- นั่งให้เขาดู ลุกอย่างนั้น นั่งอย่างนี้ นอนอย่างนั้น
นั่งพับเพียบนั่งอย่างนี้ นั่งขัดสมาธิ นั่งอย่างนั้น...'อยู่ให้เห็น' ก็อยู่ด้วย
ทำด้วย ไปไหน - มาไหนเขาก็เห็นได้ด้วยตา ถึงจะไม่รู้ภาษาพูดก็ทำตาม

กันได้ ถ้าพูดภาษารู้กันได้ก็ต้องให้เข้าใจในคำพูดนั้น...ถ้าเราไม่เข้าใจใน
คำพูดนั้น เราจะปฏิบัติผิด ผลออกมาก็คือ เราได้รับทุกข์...เมื่อทุกข์ปรากฏ
ออกมา เราก็เดือดร้อนสับสนวุ่นวาย เมื่อเราเดือดร้อน สังคมนั้นแม้จะเป็น
ครอบครัวเล็กๆ ของเราก็ได้รับทุกข์ตามทันที : พ่อแม่เป็นทุกข์ ลูกซึ่งอยู่
ในครอบครัวก็ต้องทุกข์ไปด้วย : ถ้าพ่อแม่ไม่มีทุกข์ ลูกก็ไม่ทุกข์ : ถ้าลูก

ไม่ทุกข์ พ่อแม่ก็ไม่มีทุกข์....ความไม่ทุกข์นั้น ท่านเรียกว่า 'สงบ'...
ความสงบนั้นคือไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน พูดแล้วรู้กัน เป็นหน้าที่ของพวกเรา
ทุกคน คนทุกคนต้องกระทำอย่างนั้น-ท่านว่าอย่างนั้น...

ที่ผมพูดให้ฟังนี้ก็เป็นภาษาพื้นบ้าน ภาษาถิ่น ถึงผมจะเป็นคนไทย
แต่ก็เกิดจ.เลย ติดกับลาว ผมไม่เคยเข้าโรงเรียน ไม่เคยเรียนหนังสือ จึงพูด
ภาษาภาคกลางไม่เป็น ที่เป็นอยู่บ้างนี้ก็มาฝึกเอาตอนหลัง พูดไม่ค่อยถูก
พูดไม่ไพเราะ ส่วนการให้ทานรักษาศีลการทำกรรมฐานนั้น ผมได้ทำมาพอ
สมควรรู้มาพอสมควร แต่เมื่อมาปฏิบัติอย่างนี้ รู้อย่างนี้ : 'ความจริงอันนี้

เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม : ถ้าเป็นคนจริงเสียอย่าง
เดียวเท่านั้น ปฏิบัติต้องรู้'...ผมได้ประสบเรื่องนี้มา จึงกล้ายืนยันรับรองคำสอน
ของพระพุทธเจ้าได้ว่า เราคนหนึ่ง จะยอมเสียสละทรัพย์สมบัติ จะยอมเสียสละ
อวัยวะ จะยอมเสียสละชีวิต เพื่อแลกเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มั่นคงถาวร
ต่อไปเพื่ออนุชนรุ่นหลัง......

'ธรรมะนี้ไม่เลือกกาลเวลา และจะปฏิบัติอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าหากเรารู้วิธีการ
กระทำจริงๆ'.....วิธีการของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่วิธีการบวงสรวง อ้อนวอน ซึ่งเป็น
เรื่องที่มีมาก่อนพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของลัทธิอื่น แม้ว่าการกระทำอย่างนั้น
เขาก็มีเจตนาเพื่อรู้ธรรมะ แต่เมื่อทำไปอย่างนั้นมันก็เลยไม่รู้ เพราะมันไม่ใช่วิธีที่จะ
รู้ได้ ไม่เพียงแต่การบวงสรวงอ้อนวอนเท่านั้นนะ ที่มิใช่วิธีของพระพุทธเจ้า แม้การ

อดข้าว อดน้ำ การย่างไฟบูชาไฟ นอนเสี้ยมนอนหนาม ทรมานต่างๆฯลฯ ก็มิใช่
คำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน......ธรรมะแท้ๆนั้น คือ ตัวเรานี่เอง ให้เรารู้จัก
ธรรมะคือตัวเรากำลังทำ-กกำลังพูด-กำลังคิด .... ให้เราเห็นอันนี้ เรียกว่า.....
'เห็นธรรม'...ทำอะไรให้เราเห็นธรรม : ทำอะไรให้เรารู้ : พูดอะไรให้เรารู้ : คิดอะไรให้เรารู้
เมื่อเรารู้จุดนี้...มันจะค่อยเดินไปเองจนถึงที่สุดของทุกข์ได้....ทุกคนต้องเป็นอย่าง
นั้น ผู้หญิงก็ต้องเป็นอย่างนี้น ผู้ชายก็ต้องเป็นอย่างนั้น....

: 'คนจริง รู้ของจริง'
(หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ)....


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์