7 สิ่งมหัศจรรย์ของกรีกโบราณ

กรีกหรือที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่ากรีซ (Greece) นั้น ในสมัยโบราณกาลเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรื่อง

ประกอบด้วยนครรัฐต่างๆ ในย่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออก มีตำนานและเรื่องราวของอาณาจักรนี้มากมาย แต่สุดยอดแห่งอารยธรรมของกรีกนั้นเค้าว่ามีอยู่ด้วยกัน 7 อย่างดังนี้





1. วิหารพาร์ธีนอน (THE PARTHENON)

ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาอะโครโปลิสแห่งนครเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ ด้วยความกว้าง 34 เมตร และยาวถึง 76 เมตร ใช้หินอ่อนนับเป็นพันๆตันที่ขนมา จากเขาเพนเตลิกอน ซึ่งห่างจากเอเธนส์ราว 13 กม. ภายในตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยประติมากรรมนูนต่ำที่ลงสีสันงดงาม และที่เด่นเป็นสง่าที่สุดในวิหารก็คือ รูปสลักของ เทพีอธีนา (ATHENA) ซึ่งประกอบขึ้นจากงาช้างและทองคำสูงใหญ่มโหฬารเกือบ 12 เมตร (ตึก 4 ชั้น) กล่าวกันว่า ประติมากรรมนี้ใช้เงินมากกว่าครึ่งหนึ่งของค่าก่อสร้างทั้งหมดของวิหารเลยแหละ

วิหารแห่งนี้มีอายุยาวนานถึง 2,500 ปีแล้ว จัดเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สุดของกรีกก็ว่าได้





2. นครแอตแลนติส (ATLANTIS)

นครที่สาบสูญ แห่งนี้จะมีจริง หรือเป็นเพียงตำนานที่เล่าลือกันนั้นยังเป็นปัญหา แต่ เพลโต ปราชญ์ กรีกได้รจนารำพันไว้ถึงความรุ่งเรืองแห่งนครนี้ไว้อย่าง เลิศลอย จัดเป็นไขมุกแห่งเมดิเตอร์เรเนียนก็ว่าได้ ซึ่งแม้บัดนี้นักโบราณคดีทั้งหลายต่างก็ยังค้นหาที่ตั้ง แห่งแอตแลนติสและบริเวณที่คาดหมายกันมากที่สุด ก็คืออ่าวอันกว้างขวางใกล้กับเกาะ ซานโตรินี ของกรีก ณ ที่แห่งนี้เมื่อ 3,500 ปีในอดีต ได้เกิดการระเบิดครั้งมโหฬารของภูเขาไฟ และ (คาดว่า) เถ้าลาวาได้ฝังนครแอตแลน-ติสไว้หนานับสิบเมตร


ในปี ค.ศ.1966 นักโบราณคดีกรีกได้ขุดพบซากเมืองหนึ่งใกล้กับเกาะซานโตรินี มีอาคารโบราณที่จมอยู่ใต้เถ้าหินภูเขาไฟซึ่งยังคงสภาพดีอย่างน่าพิศวง และที่ผนังอาคารมีภาพแผนที่ของเกาะซานโตรินี กับภูเขาไฟที่สำคัญคือในรูปนั้นมีเกาะใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของนครอันเป็นศูนย์กลางแห่งการค้าขาย เป็นนครที่คล้ายกับที่เพลโตได้บรรยายไว้

ความลึกลับแห่งแอตแลนติสจัดเป็นเสน่ห์ น่าอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งของกรีซแม้ในทุกวันนี้





3. กำเนิดแห่งโอลิมปิก เกมกีฬาอันยิ่งใหญ่

ที่สุดของโลกแข่งขันกันหนแรกเมื่อราว 800 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งหนนั้นมีเพียงแค่วิ่ง 200 เมตร ระหว่างสองนครรัฐของกรีก นัยว่าเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองจอมเทพ ซูส (ZEUS) ที่ชาวกรีกนับถือบูชา สมัยนั้นนครรัฐต่างๆของกรีกมักมีการรบราฆ่าฟันระหว่างกันอยู่เสมอ แต่พอจัดการแข่งขันโอลิมปิกขึ้นในเดือนกรกฎาคมทุกๆ สี่ปี ก็ได้มีข้อตกลงว่าต้องสงบศึกชั่วคราวหลายเดือนก่อนการแข่งขัน ผู้ใดเป็นฝ่ายก่อเหตุรบพุ่งขึ้น จะต้องถูกเทพซูสลงทัณฑ์

ถัดจากนั้นมาก็ได้เพิ่มการวิ่ง 400 และ 5,000 เมตร แล้วก็มีปัญจกรีฑา ซึ่งประกอบด้วย วิ่ง กระโดดไกล มวยปล้ำ ขว้างจักร และพุ่งแหลน นับเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ หากทว่ารางวัลสำหรับผู้ชนะมีเพียงแค่ แถบผ้าคาดหน้าผาก กิ่งปาล์มสำหรับโบกให้คนดูบนอัฒจันทร์แล้วก็มงกุฎใบมะกอกเท่านั้น

สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ เกียรติยศและความภาคภูมิใจ ไม่งั้นเกมโอลิมปิกจะยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้




4. อนุสาวรีย์ที่เกาะโรดส์ (THE COLOSSUS OF RHODES)

จัดเป็นอนุสาวรีย์ที่สูงใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างกันมาในยุคนั้น คือ สูงถึง 37 เมตร เกือบเท่าเทพีเสรีภาพของอเมริกาที่สร้างในอีก 2,000 กว่าปี ให้หลัง ทำให้น่าอัศจรรย์ใจว่า สถาปนิกและวิศวกรในครั้งกระนั้นใช้เทคนิคอย่างไรจึงหล่อรูปบรอนซ์ มหึมานี้ และยกขึ้นตั้งบนแท่นได้


ที่มาของประติมากรรมนี้เกิดเมื่อ 305 ปีก่อน ค.ศ.โดยได้มีทัพข้าศึกยกมาตีเกาะโรดส์ กำลังของศัตรูนั้นเหนือกว่าจำนวนนักรบบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้อย่างเทียบไม่ติด แต่ก็เหลือเชื่อที่พวกเขาต่อสู้จนข้าศึกพ่ายกระเจิงไป เสร็จศึกชาวเกาะโรดส์จึงร่วมกันทำอนุสาวรีย์สุริยเทพ เฮลิออส ขึ้นไว้เป็นสัญลักษณ์ แห่งชัยชนะ กว่าจะสร้างเสร็จก็ปาเข้าไปถึง 12 ปี ใช้บรอนซ์หนักกว่า 200 ตัน

แต่ใหญ่แค่ไหนก็ยังพ่ายแพ้แก่ภัยธรรมชาติ อนุสรณ์แห่งนี้ยืนเด่นเป็นสง่าได้เพียง 60 ปี ก็โดนแผ่นดินไหวถล่มพังพินาศไปในปีที่ 224 ก่อน ค.ศ.


 





5. โรงละครแห่ง อีพิดาอุรุส (THE THE-ATRE OF EPIDAURUS)

ตั้งอยู่ที่เนินเขาอีพิดาอุรุส ห่างจากเอเธนส์ราว 160 กม. สร้างมานานกว่า 2,500 ปี มาแล้ว แต่เทคนิคของระบบเสียง (ACOUSTICS) เยี่ยมยอดยิ่งกว่าโรงละครบางโรงในปัจจุบันเสียอีก


ความเป็นมาของโรงละครนี้น่าทึ่งคือ เริ่มจากการเป็นศูนย์กลางของการรักษาพยาบาล โดยสมัยนั้นเชื่อกันว่าวิธีบำบัดรักษาโรคอย่างหนึ่งก็คือ ใช้เสียงดนตรีนี่แหละ เมื่อคนไข้จิตใจสงบลงและชุ่มชื่นเบิกบาน อาการก็จะดีขึ้นเอง ดังนั้น พวกเขาจึงใช้เงินที่บรรดาคนไข้บริจาคไว้ มาสร้างโรงละครรูปชามอ่างตัดเจาะเนินเขา เพื่อทำที่นั่งโดยใช้หินบล็อกมาก่อตั้งเรียงรายถึง 55 แถว มีฉากเวทีที่สูงขนาดตึกสองชั้น และมีสเปเชียลเอฟเฟกต์ด้วย เช่นว่าถ้ามีบทเทวดาเหาะลงมาจากสวรรค์ ก็จะใช้รอกชักนักแสดงลอยลงมา


แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือระบบเสียง เชื่อไหมว่า แม้แต่เหรียญอันหนึ่งตกบนเวที ผู้ดูที่นั่งแถวหลังสุดจากทั้งหมด 14,000 คน ก็ยังได้ยินเสียงเหรียญ ตกนั้นชัดเจน

เค้าบอกว่าเคล็ดลับอยู่ที่แท่นหินสำหรับนั่งดูนั่นเอง นอกจากทำให้ได้ยินเสียงเพลงได้ไพเราะแล้ว มันยังช่วยลดเสียงสะท้อนรบกวนอีกด้วย




6. เทพพยากรณ์ แห่งเดลฟี (THE ORA-CLE OF DELPHI)

ในยามที่คุณสิ้นหวัง หรืออยากรู้อนาคต ที่พึ่งหนึ่งของคุณอาจเป็นหมอดูหรือ การทรงเจ้าเข้าผี ชาวกรีกโบราณก็เช่นกัน พวกเขาจะพากันไปที่เนินเขาแห่งหนึ่งในเมืองเดลฟี อันเป็นที่ตั้งของวิหารแห่งเทพอปอลโลที่เขาบูชา และขอทราบคำทำนายชีวิตเบื้องหน้าของเขา ในการนี้พระผู้ดูแลวิหารจะสั่งผ่านนักบวชหญิงที่เรียกว่า "ไพธีอา (PITHIA)" ให้เป็นผู้ถ่ายทอดเสียงของเทพอปอลโล คำพยากรณ์นั้นมิได้ระบุแน่ชัดเจาะจง แต่ผู้ได้รับจะต้องนำไปตีความเอาเอง (คล้ายกับการใบ้หวยงั้นแหละ) ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักตีความในด้านที่ตนพึงพอใจ


ทำให้สถานพยากรณ์แห่งเดลฟี เป็นที่นิยมสูงสุดของกรีก ผู้คนทั่วสารทิศจะหลั่งไหลมาขอคำพยากรณ์ สร้างความร่ำรวยมหาศาลให้แก่ ศาสนสถานแห่งนี้จนมีอาคารเกิดขึ้นมากมายเป็นคอมเพล็กซ์ที่มีถึง 3,000 วิหารน้อยใหญ่ โดยวิหารอปอลโลเป็นศูนย์กลางใหญ่ที่สุด

นักบวชหญิงยามที่เทพเข้าทรงนั้นจะมีอาการผิดแผกไปจากปกติ สุ้มเสียงก็เพี้ยนไป ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่าเป็นเพราะใกล้ๆ กับเนินเขานั้น มีธารน้ำซึ่งมีก๊าซเอธิลีนฟุ้งกระจาย อันอาจทำให้นักบวชหญิงไพธีอาเกิดอาการสะลึมสะลือหรือเคลิบเคลิ้มไปก็ได้ ก็ว่ากันไป



 


7. วังกษัตริย์คนอสซอส (PALACE OF KNOSSOS)

วังที่ตั้งอยู่บนเกาะครีตนี้จัดเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม ไมโนอัน (MINOAN) เมื่อ 3,500 ปีก่อนโน้น มีขนาดใหญ่โตมโหฬารด้วยห้องอันหรูหราวิจิตรนับร้อยห้อง กินเนื้อที่ราว 16,000 ตารางเมตร โดยใช้เทคนิคการก่อสร้างใยยุคบรอนซ์ที่น่าอัศจรรย์ใจ เช่น การตัดเนินเขา เพื่อสร้างปีกด้านตะวันออกของวัง ซึ่งมีความสูงเทียบได้กับตึก 4 ชั้น


การสร้างบันไดมหึมาที่อาศัยเสาไม้ซีดาร์ รองรับ โดยเสาแต่ละต้นรับน้ำหนักไว้เพียบ และถ่ายทอดต่อกันลงมา เป็นชั้นๆ หรือระบบแสงสว่างที่สถาปนิกออกแบบ โดยวางตำแหน่งของหน้าต่างและประตูได้อย่างเหมาะเจาะ นอกจากนี้ ยังมีระบบระบายน้ำฝังใต้อาคารซึ่งนอกจากระบายน้ำฝนแล้วก็ยัง ระบายน้ำชำระล้างได้ด้วย ทันสมัยกว่าบางอาคารสมัยนี้เสียอีก



เสน่ห์ดึงดูดใจของผู้มาเยี่ยมชมวังแห่งนี้ คือตำนานที่เล่าลือว่ากษัตริย์ ไมนอส แห่งครีต ได้สร้างที่คุมขังอสูรสัตว์ตัวหนึ่งไว้ในบริเวณวังนี้ด้วย นั่นคือ ไมโนทอร์ ที่มีลักษณะเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งวัว และที่คุมขังมันก็คือ แลบบิรินธ์ อันสลับซับซ้อนเป็นเขาวงกตที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์