Deep purple ตำนานร็อค

Deep purple ตำนานร็อค




วงดนตรีที่เบื้องต้น รู้จักว่าเป็นวง Hard Rock จากอังกฤษเจ๋งโคตร ไปๆ มาๆ กลายเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกดนตรีสไตล์ Heavy Metal ไปเสียฉิบ ! นั่นก็คือ Deep Purple ที่กำลังจะเขียนถึงนี่หล่ะ วงนี้มีประวัติก่อตั้งเมื่อปี 1968 แต่สาวลงได้ถึงปี 1964 ตอนนั้น Ian Gillan นักร้องร่วมวงกับ Graham Dimmock กีต้าร์ Roger Glover เล่นเบสส์ กับเพื่อนๆอีกหลายคนในนามวง Episode Six ซึ่งออก Singles มาหลายแผ่นแต่ไม่โด่งดัง ต่อมาปี 1967 ฟอร์มวง The Flower Pot Men and their Garden ขึ้นมา ตระเวนเล่นดนตรีไปเรื่อย จนกระทั่งวันหนึ่งได้นักกีต้าร์มืออาชีพมาร่วมงาน หมอนี่ชื่อ Ritchie Blackmore เพิ่งกลับจากเยอรมัน และวงดนตรีระดับโลกนาม Deep Purple จึงกำเนิดขึ้นมา แต่ผลงานเพลง อัลบั้มแรกชื่อ “ Shades of Deep Purple ” คิดว่าไม่ค่อยจะรู้จักกันแพร่หลายโดยเฉพาะในประเทศบ้านเกิด แต่พอมีชื่อบ้างในสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นยังไปหยิบเอาเพลงคนอื่นมาเล่น เช่น เพลง " Hush " ของ Joe South ชุดที่สอง “ The Book of Taliesyn ” ก็เหมือนกันป๋าไม่รู้จักเลยให้ตายเหอะ ! ชุดที่สาม “ Deep Purple ” ออกมาปี 1969 ป๋าก็ยังไม่รู้จักกับวงนี้ จนกระทั่งชุดที่สี่ “Deep Purple In Rock” ออกในปี 1970 นั่นแหละถึงจะรู้จัก เพราะมีเพลงติดหู คือ เพลง “Speed King” ขึ้น Intro เนิบๆ ด้วยออร์แกน ก่อนจะลากเสียงยาวๆ แล้วกระตุกอารมณ์ด้วยจังหวะมันส์ๆ Riff กีต้าร์และเบสส์ชวนหลงใหล เสียงร้องสุดเจ๋งแบบขาดลอยของ Ian Gillan กลางๆ เพลงมีปะทะกันระหว่างกีต้าร์โซโลกับออร์แกน อัลบั้มนี้มี Ritchie Blackmore เล่นกีต้าร์ John Lord ออร์แกน Roger Glover กีต้าร์เบสส์ Ian Paice เล่นกลอง แต่เพลงในชุดนี้ที่ดังสุดๆ ใครๆ ก็ฟัง และมีคนแกะเพลงไปเล่นเยอะมากก็คือ เพลง " Child in Time " เพลงนี้ใครก็จำ Riff ได้เพราะเรียบง่ายไม่ซับซ้อนเทคนิคกีต้าร์ Power Chord ฝีมือโซโลกีต้าร์ของ Blackmore ท็อปฟอร์มที่สุดในเพลงนี้เพราะขึ้นอย่างนุ่มนวลละมุลละมัยจบลงอย่างเร้าใจ และล่องลอย แทร็กนี้ยาว 10 นาที 14 วินาที ฟังไม่เบื่อ สมัยนั้นป๋าเปิดฟังจนแผ่นแทบจะทะลุเลยทีเดียว ร้องเยี่ยมสุดๆเพราะเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึก ช่วงแผดเสียงก็สูงลิบ ชนิดที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จึงกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในโลก ถ้าเดินถนนมีใครเปิดเพลงนี้ก็มักจะได้ยินเสียงเด็กแหกปากร้อง Ah ! ….Ah! …. พร้อมกับเสียงไอ แค๊กๆ ตามมาเพราะเจ็บคอ ส่วนการเรียบเรียงเสียงประสานเยี่ยมมากไม่มีที่ติ


ปีถัดมา( 1971) ออกอัลบั้มใหม่ “Fireball” กระชากใจคอฮาร์ตร็อคอีกตามเคย เพลงติดหูคนฟังเพราะขึ้นกลองได้เร้าอารมณ์มาก มี Riff เจ๋งๆ ด้วย นักดนตรีเมืองอุดรฯนิยมแกะเล่นคือ เพลง “Fireball” กับเพลง “Fools” ความจริงก็เห็นแต่วง V.I.P. เท่านั้นแหละที่เล่น โดยเฉพาะเพลงหลังเอาก้านไวโอลินมาสีบนสายกีต้าร์ เท่ไปอีกแบบ จะว่าไปแล้วเพลง “Fireball” ได้หลุดเข้าไปในท่วงทำนอง Speed แล้ว คนที่สนุกที่สุดเห็นจะเป็นมือกลอง ไปหามาฟังซะจะเป็นมงคลแก่หู ส่วนเพลง “Fools” มันแปลกๆ ดี ฟังเหมือนเล่นสายคู่ช่วง Intro ปล่อยดนตรีเนิบๆ ก่อนจะปล่อยเต็มเสียงเหมือนเล่นทีเผลอ สร้างสรรค์เพลงได้ดีมากคนร้องก็มีความสุข ไม่เชื่อลองไปแกะมาซ้อมกันเล่นๆ สิ ! ความยาว 8 นาที 21 วินาที


ในเดือนมีนาคมปี 1972 วง Deep Purple ปล่อยอัลบั้มใหม่ออกมาชื่อ “ Machine Head ” ชุดนี้ดังโคตรสามารถชิงออกอากาศวิทยุได้บ่อยที่สุด ไปไหนมาไหนก็ได้ยิน ร้านมี Juxbox หรือตู้หยอดเหรียญฟังเพลงเปิดดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่สามล้อยังร้องเพลงได้แม้จะร้องไม่ถูกก็ตาม ชุดนี้มีเพลงดังเยอะเป็นต้นว่า Highway Star, Smoke on the Water, Space Truckin หรือ Maybe I'm a Leo เพลงเหล่านี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกระมังเพราะคงจะรู้จักกันดี เพลง “Highway Star” กลายเป็นเพลงประดาบของมือกีต้าร์โซโล เป็นเพลงกระชากจิ๊กโก๋ให้ลุกออกจากโต๊ะมาดิ้นกันสุดๆ ส่วน “Smoke on the Water” เป็น Riff ระดับตำนานเลยพระคุณท่าน ! เพลงนี้ทำให้มือกีต้าร์ต้องเรียนรู้เทคนิคการเล่นแบบ Powor Chord คือจับคู่สาย หรือนิ้วกดทับสายกีต้าร์ไม่ครบตัวโน๊ตประจำคอร์ด


เนื้อ เพลงนี้แต่งมาจากเรื่องจริงซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 7 ธันวาคม 1971 ที่เมือง Montreux ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองอยู่ห่างจากโลซานน์ประมาณ 45 นาที ป๋าไปมาเหมือนกันเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2549 เสียดายถ้าไปช้าอีกเดือนจะมีโอกาสได้ชมอดีตสมาชิก Led Zeppelin ไปเล่นโชว์ในงานมหกรรมดนตรี Jazz ที่เมืองนี้ ตอนนั้นวง Deep Purple ไปยืมสตูดิโอเคลื่อนที่ของ The Rolling Stone เพื่อบันทึกเสียง โดยตั้งแคมป์ที่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Montreux Casino ขณะเดียวกันมีคอนเสิร์ต Frank Zappa กับ The Mothers of Invention วงดนตรีคู่ชีพ ปรากฏว่ามีเด็กมือบอนจุดไฟเล่นพุ่งไปกระทบเพดานเกิดไฟลุกไหม้โรงละครทำให้ ด้านประตูทางเข้าเสียหายหนัก รวมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ดนตรีเสียหายด้วย บังเอิญสมาชิกวงมองจากโรงแรมเห็นควันไฟล่องลอยไปเหนือทะเลสาบเจนีวา จึงเป็นที่มาของคำว่า “Smoke on the Water” ผลจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นนะหรือ ก็เผ่นกันกระเจิง และไม่ได้อัดเสียงด้วยต้องไปหาที่ใหม่แทน


ความจริงของเนื้อหา เพลงจะเป็นอย่างไร บางที่ก็ไม่สำคัญ ฟังแล้วสนุก ฟังแล้วไพเราะ ฟังแล้วอยากหยิบกีต้าร์มาเล่น เท่านี้ก็โอเคแล้ว แต่บางคนฟังเพลงนี้กลับไปนึกถึง “ ควัน ” จากการเผาใบไม้ที่กระจุกอยู่ปากบ่อเล็กๆ และมีน้ำในกระบอกไปเสียฉิบ !

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์