Hey "Sport !". :\')

ผีบุกรัวแซงค้อน4-2รูนแฮตทริกเฮทิ้งปืน7แต้ม

Hey \"Sport !\". :\





      "ปีศาจแดง" แมนฯยูไนเต็ด ตายยาก หลังโดน "ขุนค้อน" เวสต์แฮม นำก่อน 2-0 จากจุดโทษของ มาร์ค โนเบิ้ล ก่อนครึ่งหลัง เวย์น รูนี่ย์ จะทำแฮตทริกบวก ชิชาริโต้ อีกหนึ่งประตู ให้ลูกทีมท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เกมนี้ยังติดโทษแบนรัวแซงเฮ 4-2 เก็บสามคะแนน ทิ้งอันดับสอง อาร์เซน่อล 7 คะแนน แต่แข่งมากกว่า1นัด ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ ที่ผ่านมา



ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
   เวสต์แฮม 2-4 แมนฯ ยูไนเต็ด
 


สนาม:อัพตัน พาร์ค


         ที่ สนามอัพตัน พาร์ค เวสต์แฮมเปิดบ้านต้อนรับแมนฯ ยูไนเต็ดโดยใช้งานขุนพลชุดเดิมทุกตำแหน่งจากนัดก่อนที่บุกไปเจ๊ากับสเปอร์ส 0-0 


         ส่วนเร้ด เดวิลส์ไม่มีเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันคุมทีมเป็นนัดที่สองจากโทษแบนห้านัด แถมเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ก็เจ็บขาหนีบต้องใช้งานโทมัส คุสแซ็กส์เฝ้าตาข่าย และพักนานี่เอาไว้ข้างสนามเนื่องจากมีเกมแชมเปี้ยนส์ลีกกับเชลซีรออยู่ในวัน พุธ


           พร้อมกันนี้ ทีมเยือนซึ่งแนวรับเดี้ยงไปหลายรายยังขาดพอล สโคลส์กับจอนนี่ อีแวนส์ที่โดนแบน แต่ได้เนมานย่า วิดิชหายเจ็บพร้อมพาร์ค ชี ซองที่ฟิตลงเล่นเกมเป็นแรกของปี 2011 โดยอาศัยเวย์น รูนีย์เป็นหอกเดี่ยว


           ปีศาจ แดงเริ่มเกมได้น่ากลัว และจากลูกเตะมุมด้านขวาของไรอัน กิ๊กส์ในนาทีที่ 4 คริส สมอลลิ่งก็ได้โขกที่เสาไกล แต่โรเบิร์ต กรีนกระโดดปัดพ้นคานได้


           แม้ ทีมเยือนจะครองเกมเอาไว้ แต่นาทีที่ 11 มาโดนจังหวะโต้กลับเล่นงานโดยโธมัส ฮิตเซิ่ลสแปร์เกอร์สาดบอลยาวจากแดนตัวเองให้คาร์ลตัน โคลทะลุเข้าเขตโทษแล้วกระดกข้ามปาทริซ เอวร่าแต่กองหลังฝรั่งเศสยกมือปัดจึงเป็นลูกโทษของขุนค้อนก่อนที่มาร์ค โนเบิ้ลจะสังหารไม่พลาดพาทีมเมืองกรุงออกนำ 1-0


           อสูร แดงต้องทำเกมรุกกันใหม่ และได้เสียวในนาทีที่ 19 จากจังหวะที่รูนีย์ตวัดบอลจากริมเขตโทษด้านขวามาหน้าประตู แต่ฟาบิโอ ดา ซิลวาโถมโขกหกหลาโดนไม่เต็มศีรษะ กิ๊กส์จึงตามมาเก็บตกในระยะเดียวกัน แต่กระทบกองหลังเจ้าบ้านออกนอกกรอบ


          ผ่านมาถึงนาทีที่ 24 เวสต์แฮมซึ่งสร้างปัญหาให้อาคันตุกะได้ทุกครั้งที่บุกขึ้นมาก็ได้ลูกโทษอีก เมื่อโคลจู่โจมขึ้นทางกราบซ้ายแล้วถูกวิดิชเหยียดขาดักล้มบนเส้น 18 หลา ทว่าผู้ตัดสินให้เดอะ แฮมเมอร์สได้ลูกโทษ และโนเบิ้ลส์เจ้าเก่าจึงตะบันเต็มเกือกไม่เหลือเพิ่มสกอร์ให้ต้นสังกัดนำ 2-0


          สถานการณ์บีบให้ผีแดงต้องลุยแหลก และน่าจะตีไข่แตกได้ในนาทีที่ 31 เมื่อรูนีย์ฉีกตัวไปเก็บบอลทางขวาอีกหนแล้วโยนเข้าเขตโทษโดยพาร์คได้วอลเลย์ อย่างถนัดถนี่ระยะ 15 หลาถูกกรีนปัดได้เหลือเชื่อ


           ขยับ มาอีกสองนาที ดาร์รอน กิ๊บสันได้ใบเหลืองเป็นคนแรกของเกมหลังปะทะกับโนเบิ้ลแถวกลางสนามในจังหวะ แย่งบอลแล้วมีตามน้ำแถมใส่ฝ่ายตรงข้าม


          จากนั้นในนาที ที่ 36 เดอะ แฮมเมอร์สก็เกือบได้เฮอีกจากการทำเกมขึ้นทางขวาแล้วฮิตเซิ่ลสแปร์เกอร์ได้ บอลโยนมาให้กระทุ้งแบบไม่ต้องจับที่เสาไกลระยะ 16 หลาเฉี่ยวกรอบประตูไปอย่างน่าเสียวไส้


           ท้ายครึ่งแรก นาทีที่ 42 ขุนค้อนวางยาวโต้ได้ลุ้นอีกตามเคย และวิดิชซึ่งเป็นกองหลังคนสุดท้ายจัดการกับเดมบา บาไม่อยู่โดนสลัดหนีไปได้เลยต้องดึงเสื้อล้ม แถมโชคดีได้แค่ใบเหลืองก่อนที่ฮิตเซิ่ลสแปร์เกอร์จะซัดฟรีคิกระยะ 25 หลาทางฝั่งขวาหลุดเสาแรกไปไม่เยอะ ครบ 45 นาทีแรกเจ้าถิ่นจึงนำห่าง 2-0


         ครึ่งหลังแมนฯ ยูไนเต็ดเน้นบุกเต็มกำลังโดยเปลี่ยนเอวร่าออกให้ฮาเวียร์ เอร์นานเดซลงบู๊ พร้อมถอยกิ๊กส์ไปเป็นแบ็คซ้าย


           ผ่านมาในนาทีที่ 50 วิดิชตามไปรวบบาล้ม แต่ผู้ตัดสินยังเฉยไม่แจกใบเหลืองเพิ่มให้กัปตันผีแดง


           ล่วงเข้าสู่นาทีที่ 59 มานูเอล ดา คอสต้าปราการหลังเวสต์แฮมเข้าอัดรูนีย์ด้านหลังเลยมีใบเหลืองติดตัว


           แมนฯ ยูไนเต็ดยังทำเกมรุกต่ออย่างรัดกุม และส่งดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟลงไปแทนพาร์คในนาทีที่ 65 และนาทีเดียวกันนี้ผีแเดงก็ได้ลูกฟรีคิกหน้าเขตโทษด้านขวาระยะ 25 หลาหลังจากโนเบิ้ลทำฟาวล์ไมเคิ่ล คาร์ริค และเป็นรูนีย์ที่ปั่นโค้งอ้อมกำแพงเสียบเสาแรกงดงามให้แมนฯ ยูไนเต็ดไล่มา 1-2 และเป็นประตูที่ 99 ของดาวยิงร่างอวบกับอสูรร้าย


           นาที ที่ 68 เจ้าบ้านส่งเฟรเดอริค ปิกิยอนลงไปแทนโคล แต่ผ่านมาอีกสองนาทีเบอร์บาตอฟรับลูกผ่านจากรูนีย์แล้วควบขึ้นฝั่งซ้ายหลุด เข้าเขตโทษ ก่อนจะตัดสินใจซัดจากสุดเส้นหลัง แต่มุมแคบเกินไปจึงถูกกรีนปัดได้


           อย่างไรก็ดี นาทีที่ 73 แฟนผีก็ได้เริงร่าเมื่ออันโตนิโอ วาเลนเซียจ่ายบอลมาจากกราบขวาให้รูนีย์แตะหนีตัวประกบหนึ่งจังหวะแล้วสับไก เรียดจาก 16 หลาเข้าเสาไกลทำให้สกอร์พลิกเป็น 2-2 จึงเป็นอันว่ากองหน้าทีมชาติอังกฤษซัดครบ 100 ลูกพอดีในชุดเร้ด เดวิลส์


          ถึงตรงนี้ ทีมเยือนจึงได้ใจเปิดเกมรุกต่อ และนาทีที่ 76 เบอร์บาตอฟลองส่องจากหน้าเขตโทษถูกกรีนปัดได้


           กระทั่ง นาทีที่ 79 แมนฯ ยูไนเต็ดก็มาได้ลูกโทษจากการลุยขึ้นมาทางขวาของฟาบิโอที่สลัดหนีปิกิยอนเข้า เขตโทษได้แล้วเตะบอลจากเส้นหลังไปโดนแขนแม็ตธิว อัพสันโดยผู้ตัดสินชี้ไปที่จุดโทษ และเป็นรูนีย์สังหารทำแฮททริคได้สำเร็จพาทีมเยือนแซงนำ 3-2


           นาที ที่ 83 เจ้าบ้านเปลี่ยนร็อบบี้ คีนกับวิคเตอร์ โอบินน่าลงไปแทนแกรี่ โอนีลกับโนเบิ้ล แต่นาทีต่อมาเบอร์บาตอฟเก็บบอลที่หน้าเขตโทษได้จึงจ่ายออกทางซ้ายให้กิ๊กส์ กระชากเข้าเขตโทษไปซัลโวลอดหว่างขาอัพสันไปที่เสาไกล เอร์นานเดซจึงสไลด์ตุงตาข่ายจากสามหลาให้ผีแดงนำ 4-2


           ก่อน จบเกมสองนาที ผีแดงเปลี่ยนรูนีย์ออกให้นานี่ลงไปแทน กระทั่งเสียงนกหวีดจบเกมดังขึ้น จึงเป็นอันว่าแมนฯ ยูไนเต็ดพลิกนรกแซงกลับมาคว้าชัย 4-2 ทำแต้มหนีอาร์เซน่อลที่มีคิวลงเล่นเป็นนัดสุดท้ายของวันเป็นแปดแต้ม แต่ลงเล่นมากกว่าสองนัด

 รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม
เวสต์แฮม : โรเบิร์ต กรีน, ลาร์ส ยาค็อบเซ่น, มานูเอล ดา คอสต้า, แม็ทธิว อัพสัน, เวย์น บริดจ์, แกรี่ โอนีล (บิคเตอร์ โอบินน่า น.83), สกอตต์ พาร์เกอร์, มาร์ค โนเบิ้ล (ร็อบบี้ คีน น.83), โธมัส ฮิตเซิ่ลสแบร์เกอร์, คาร์ลตัน โคล (เฟรเดริค ปิกิย่อน น.68), เดมบ้า บา
สำรองไม่ได้ใช้ : รุด บอฟฟิน, วินส์ตัน รีด, เจมส์ ทอมกิ้นส์, โจนาธาน สเป็คเตอร์
แมนฯ ยูไนเต็ด : โทมัส คุสแซ็ค, ฟาบิโอ ดา ซิลวา, คริส สมอลลิ่ง, เนมานย่า วิดิช, ปาทริค เอวร่า (ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ น.46), อันโตนิโอ วาเลนเซีย, ดาร์รอน กิ๊บสัน, ไมเคิ่ล คาร์ริค, พาร์ค จี-ซอง (ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ น.64), ไรอัน กิ๊กส์, เวย์น รูนี่ย์ (นานี่ น.88)
สำรองไม่ได้ใช้ : เบน อะมอส, ไมเคิ่ล โอเว่น, อันแดร์สัน, โอลิเวอร์ กิลล์
ผู้ตัดสิน : ลี เมสัน


สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ


- เวสต์แฮม แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด  2 - 4
- เบอร์มิงแฮม ชนะ โบลตัน  2 - 1
- เอฟเวอร์ตัน เสมอ แอสตัน วิลล่า  2 - 2
- นิวคาสเซิ่ล ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน  4 - 1
- สโต๊ค ซิตี้ เสมอ เชลซี   1 - 1
- เวสต์บรอมวิช ชนะ ลิเวอร์พูล  2 - 1
- วีแกน เสมอ สเปอร์ส  0 - 0
- อาร์เซน่อล เสมอ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส  0 - 0


เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังติดโทษแบนต้องไปนั่งชมเกมอยู่ข้างบนตามเดิม




มาร์ค โนเบิ้ลเหมายิงจุดโทษให้ทีมขุนค้อนขึ้นนำก่อน



รูนีย์ยิงจุดโทษให้แมนฯยูฯพร้อมทำแฮตทริกให้ทีมในเกมนี้



จังหวะที่ชิชาริโต้มายิงประตูปิดท้ายให้ทีมปีศาจแดงเฮเก็บสามคะแนน



รูนีย์เก็บบอลกลับบ้านตามธรรมเนียมของผู้ยิงแฮตทริก





หงส์ช้ำโดนสองจุดโทษ!บุกพ่ายเวสต์บรอมฯ1-2

Hey \"Sport !\". :\

"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สุดเซ็ง นำก่อน แต่สุดท้ายโดนเจ้าถิ่น "เดอะแป๊กกี้ส์" เวสต์บรอมวิช เอาคืนจากทีเดียวจากการเหมาจุดโทษของ คริส บรันท์ บุกพ่าย 1-2 รอย ฮ็อดจ์สัน พาเจ้าถิ่นดับทีมเก่า เก็บสามคะแนนล้ำค่าดิ้นรนหนีโซนแดงได้ ขณะที่ ลิเวอร์พูล อยู่อันดับ6ของตารางตามเดิม ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา



ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
เวสต์บรอมวิช 2-1 ลิเวอร์พูล



สนาม : เดอะ ฮอว์ธอร์นส์


      ลิเวอร์พูล ยกพลมาเยือน เวสต์บรอมวิช ที่ดิ้นรนหนีตกชั้นโดยเกมนี้เจ้าถิ่นส่ง ไซม่อน ค็อกซ์ จับคู่กับ ปีเตอร์ โอเด็มวิงกี้ ในแดนหน้า ส่วนทีมเยือนวาง หลุยส์ ซัวเรซ กับ แอนดี้ แคร์โรลล์ เป็นคู่หัวหอก


      เริ่มเกมมาไม่ทันไร หงส์แดงก็เปิดฉากบุกเข้าใส่ทันทีเมื่อ ราอูล เมยเรเลส โยนลูกเตะมุมจากฝั่งขวาเข้ามาให้ แอนดี้ แคร์โรลล์ ขึ้นโขกบอลหลุดไปถึง เดิร์ค เค้าท์ โหม่งต่อที่เสาไกลไปโดน สกอตต์ คาร์สัน ทุบทิ้งออกมาเข้าทาง เค้าท์ ยิงซ้ำอีกดอกก็เช็ดคานบนออกไป


      นาทีที่8 ทีมเยือนต้องทำการปรับทัพอย่างรวดเร็วเมื่อ เกล็น จอห์นสัน บาดกล้ามเนื้อจากจังหวะวิ่งตามบอล จน เคนนี่ ดัลกลิช จำต้องส่ง โซติริส คีร์เกียคอส ลงมาเล่นแทน


      เข้าสู่นาทีที่20 ยังเป็น ลิเวอร์พูล ที่ได้ลุ้นต่อ จังหวะนี้ หลุยส์ ซัวเรซ จ่ายบอลมาให้ เค้าท์ วิ่งเบียดแนวรับเจ้าถิ่นเข้าไปตะบันด้วยขวาในเขตโทษ แต่บอลเฉี่ยวเสาออกไปนิดเดียว


      จากนั้น5นาที หงส์แดงก็โชคร้ายซ้ำสองเมื่อ แดเนียล แอ็กเกอร์ ได้รับบาดเจ็บจนต้องเดินกระเผลกออกจากสนาม แดนนี่ วิลสัน กองหลังดาวรุ่งชาวสกอตแลนด์ลงมาเล่นเป็นแบ็กซ้ายแทน


      นาทีที่34 เดอะ แบ็กส์เริ่มต่อเกมกันได้ดีกว่า ลูกนี้ บรันท์ โยนฟรีคิกจากกลางสนามเข้าเขตโทษให้ สตีเว่น รีด สอดมาเบียดแนวรับทีมเยือนโหม่ง แต่ เรน่า ก็ยังล้มตัวเซฟเอาไว้ได้


      อีก2นาทีต่อมาเจ้าถิ่นได้โอกาสลุ้นอีกครั้งเมื่อ โธมัส โยนบอลจากกราบซ้ายเข้าเขตโทษ สเคอร์เทล โขกสกัดบอลผิดเหลี่ยมเหมือนจะเสียบใต้คาน แต่ เรน่า ยังบินไปตะปปติดมือไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม


      เข้าสู่ครึ่งหลัง เวสต์บรอมวิชเกือบได้เฮจากจังหวะที่ โอเดมวิงกี้ กระดกบอลไปให้ ไซม่อน ค็อกซ์ พลิกตัวยิงไปติดเซฟ เรน่า ที่ล้มตัวบล็อคไว้ได้ทัน


      ในนาทีที่50 กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่มาออกนำก่อน 1-0 จนได้เมื่อ เมยเรเลส เปิดลูกเตะมุมมากลางประตูให้ มาร์ติน สเคอร์เทล เทกตัวโขกเสียบตาข่ายเข้าไปไม่เหลือ


      อีก7นาทีต่อมา พอเสียประตู แบ็กกี้ส์ก็โหมเกมรุกหนักทันที โอเดมวิงกี้ พลิกบอลหลบ คีร์เกียคอส เข้าเขตโทษก่อนโดนเซนเตอร์ฮาล์ฟชาวกรีซเสียบล้มลงไป ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษทันที และ คริส บรันท์ ก็รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด


      นาทีที่ 66 เวสต์บรอมวิชเริ่มติดเครื่องและเกือบแซงนำจากจังหวะที่ โอเดมวิงกี้ พาบอลลากจากริมเส้นฝั่งขวาตัดเข้ามาในเขตโทษแล้วตะบันด้วยซ้ายทันที แต่ เรน่า ก็ยังล้มตัวปัดได้ทัน ก่อนที่ สเคอร์เทล จะตามมาสกัดทิ้งไป


      ก่อนหมดเวลา2นาทีกลายเป็นแฟนเจ้าบ้านที่ได้เฮลั่นสนามเมื่อ โอเดมวิงกี้ เบียด คีร์เกียคอส ล้มก่อนพาบอลไปหลุดเดี่ยวไปโดน เรน่า รวบล้ม ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษ และ บรันท์ คนเดิมก็รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด


       ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ หงส์แดงบุกกระหน่ำเป็นชุด และเกือบตีเสมอได้จากลูกที่ หลุยส์ ซัวเรซ ที่แปบอลข้ามหัว คาร์สัน ไปแล้ว ทว่ายังโดนกองหลังเจ้าบ้านโหม่งสกัดจากเส้นได้หวุดหวิด จบเกม เวสต์บรอมวิช พลิกกลับมาชนะ 2-1


รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม


     เวสต์บรอมวิช :
สกอตต์ คาร์สัน, สตีเว่น รีด, อับดูลาย เมอิเต้, โยนาส โอลส์สัน, นิคกี้ ชอรี่ย์, คริส บรันท์, ยูสซูฟ มูเลิงบู, พอล ชาร์เนอร์, เจโรม โธมัส, ไซม่อน ค็อกซ์, ปีเตอร์ โอเดมวิงกี้

     
สำรอง :
โบอาซ มายฮิลล์, ปาโบล อิบันเญซ, จานนี่ ซุยเฟอร์ลูน, มาเร็ค เช็ก, กอนซาโล่ ฮาร่า, คาร์ลอส เวล่า, มาร์ก-อองตวน ฟอร์ตูเน่


     ลิเวอร์พูล :
โฆเซ่ เรน่า, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, แดนนี่ แอ็กเกอร์, เกล็น จอห์นสัน, เจย์ สเปียริง, ลูคัส เลวา, ราอูล เมยเรเลส, เดิร์ค เค้าท์, หลุยส์ ซัวเรซ, แอนดี้ แคร์โรลล์

     
สำรอง :
ปีเตอร์ กูลัคซี่, แดนนี่ วิลสัน, โซติริส คีร์เกียคอส, คริสเตียน โพลเซ่น, โจ โคล, มักซี่ โรดริเกซ, ดาวิด เอ็นก๊อก


     ผู้ตัดสิน :
มาร์ติน แอ็ตกินสัน


สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
     

- เวสต์แฮม แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด  2 - 4
- เบอร์มิงแฮม ชนะ โบลตัน  2 - 1
- เอฟเวอร์ตัน เสมอ แอสตัน วิลล่า  2 - 2
- นิวคาสเซิ่ล ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน  4 - 1
- สโต๊ค ซิตี้ เสมอ เชลซี   1 - 1
- เวสต์บรอมวิช ชนะ ลิเวอร์พูล  2 - 1
- วีแกน เสมอ สเปอร์ส  0 - 0
- อาร์เซน่อล เสมอ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส  0 - 0
ประมวลภาพหลังเกมการแข่งขัน





จังหวะโฉบเข้ามาโหม่งให้หงส์แดงขึ้นนำก่อนของมาร์ติน สเคอร์เทล



อีกมุมหนึ่งในการตะบันจุดโทษเต็มๆของคริส บรันท์



สีหน้าเคนนี่ ดัลกลิชบ่งบอกความเซ็งหลังลูกทีมออกนำก่อนโดนแซงคืน



ป๋ารอยประกาศศักดาพาเวสต์บรอมวิชล้มทีมเก่า


ปิเก้ชัดชัย!บาร์ซ่าบุกกดเรือดำน้ำ1-0ทิ้ง8แต้ม

Hey \"Sport !\". :\

เคราร์ด ปิเก้ สวมบทฮีโร่ซัดโทนช่วย "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า บุกซิว "เรือดำน้ำ" บียาร์เรอัล 1-0 เก็บสามแต้มเต็มรั้งจ่าฝูงมี 81 คะแนน ทิ้งห่าง "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ที่พลาดท่าพ่ายคารังเป็น 8 แต้มแล้ว โอกาสซิวแชมป์ลีกเมืองกระทิงดุของบาร์ซ่าเริ่มสดใส


การแข่งขันฟุตบอลลา ลีกา สเปน
วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2554
บียาร์เรอัล 0 - 1 บาร์เซโลน่า



สนาม: เอสตาดิโอ เอล มาดรีกาล, บียาร์เรอัล



        "เยลโล่ ซับมารีน" บียาร์เรอัล ได้ตัว นิลมาร์ กองหน้าชาวบราซิเลียน หายเจ็บขาขวากลับมาเป็นสำรอง แต่ไม่มี มาร์กอส เซนน่า มิดฟิลด์กัปตันทีมที่เจ็บเอ็นหลังหัวเข่าขวา โดยแดนหน้าวาง จูเซ็ปเป้ รอสซี่ ล่าตาข่ายคู่กับ มาร์โก รูเบน



        ทางด้าน บาร์เซโลน่า จ่าฝูงหมดสิทธิ์ใช้งาน ชาบี เอร์นานเดซ จอมทัพแดนกลางที่ติดโทษแบน รวมทั้งขาด เอริก อบิดัล ที่กำลังพักฟื้น หลังเข้ารับการผ่าตัดเนื้อร้ายบริเวณตับ ส่วน การ์เลส ปูโยล ปราการหลังกัปตันทีมอยู่ในระหว่างฟื้นฟูร่างกายในโรงยิม และ เปโดร โรดริเกซ กองหน้าตัวจี๊ดเจ็บโคนขาหนีบ



        แนวรุกวาง อันเดรีส อิเนียสต้า, ดาบิด บีย่า และ อิบราฮิม อเฟลลาย ลงล่าตาข่ายพร้อมกัน ส่วน ลิโอเนล เมสซี่ ดาวซัลโวตัวเก่งที่เจ็บโคนขาหนีบจากเกมทีมชาตินั้น ฟิตทันมีชื่อเป็นสำรองเกมนี้



        เปิดเกมขึ้นมาได้ 11 นาที เจ้าบ้านน่าจะได้ประตูขึ้นนำ เมื่อ ซานติ กาซอร์ล่า เปิดบอลขึ้นหน้าให้กับ จูเซ็ปเป้ รอสซี่ สปีดตามเข้าไปกดด้วยซ้ายทันที ทว่า บิคตอร์ บัลเดส ทิ้งตัวปัดไว้ได้บอลมาเข้าทาง มาร์โก รูเบน ซ้ำด้วยขวาโดนไม่เต็มเลยถูกเคลียร์ออกมาได้



        สามนาทีต่อมา บรูโน่ โซเรียโน่ กองกลางบียาร์เรอัล รับใบเหลืองไปเป็นคนแรกหลังจากไปเปิดปุ่มย่ำใส่หัวเข่าของ มาสเคราโน่ จนเลือดไหลออกมา ต้องกระเผลกออกมาปฐมพยาบาลกันครู่หนึ่งจึงเล่นต่อได้



        ผ่านมา 29 นาที เยลโล่ ซับมารีน มาเป็นระลอก ซานติ กาซอร์ล่า เปิดให้กับ รอสซี่ ตะบันด้วยอีขวาไม่ตรงกรอบ



        บาร์ซ่า มีโอกาสครั้งแรกในนาทีที่ 32 ดาเนี่ยล อัลเวส กดด้วยขวาจากนอกเขตโทษบอลหลุดเสาซ้ายไป



        หกนาทีให้หลัง ทีมเยือนมีโอกาสอีกครั้ง อเฟลลาย ไหลให้กับ อาเดรียโน่ คอร์เรอา ซัดด้วยขวาหน้าเขตโทษติดเซฟของ ดีเอโก้ โลเปซ นายทวารเจ้าถิ่น หมดครึ่งแรกเสมอกันอยู่ 0-0



        เข้าสู่ครึ่งหลังได้แค่สามนาที บาร์เซโลน่า เปิดฉากลุยเข้าใส่ทันที อเฟลลาย เปิดบอลให้กับ อิเนียสต้า ซัดด้วยขวาไม่ผ่านมือ ดีเอโก้ โลเปซ ที่ยืนดักทางเอาไว้แล้ว



        เกมตกเป็นของทีมเยือนมีโอกาสอีกในนาที 52 อาเดรียโน่ เปิดบอลให้กับ อัลเวส กดด้วยขวาหลุดกรอบ



        นาทีต่อมา บาร์ซ่า ส่ง ลีโอเนล เมสซี่ สตาร์ตัวเก่งชาวอาร์เจนไตน์ ลงเล่นแทน เซย์ดู เกอิต้า หวังจะพังประตูให้ได้ ส่วนเจ้าบ้านเปลี่ยนเหมือนกันให้ นิลมารร์ กองหน้าทีมชาติบราซิล ลงสนามแทน มาร์โก รูเบน ในนาที 57



        บาร์ซ่า บดหนัก ติอาโก้ เปิดต่อออกทางซ้ายให้ อเฟลลาย ล็อคแล้วยิงด้วยขวาติด ดีเอโก้ โลเปซ ที่ปัดออกมาได้ในนาที 65



        เขยิบมานาทีที่ 66 บาร์ซ่า ได้ลูกเตะมุมทางขวา ดาเนี่ยล อัลเวส เปิดเข้ากลาง เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ โหม่งเช็ดมาด้านหลังให้กับ เคราร์ด ปิเก้ พักอกแล้วซัดด้วยขวาเสียบมุมซ้ายเข้าไปให้บาร์ซ่า นำก่อน 1-0 จนได้ แม้จะดูเหมือนว่า ปิเก้ ใช้แขนซ้ายประคองก่อนยิงเข้าไปก็ตามที



        บียาร์ฯ เปลี่ยนเอา มาร์เชน่า ออกแล้วส่ง รูเบน กราเซีย กานี ลงสนามแทนในนาที 70 ส่วน บาร์ซ่า ให้ โบยาน เกร์กิช ที่หายเจ็บกลับมา ลงเล่นแทน ดาบิด บีย่า ในนาทีต่อมา



        นาที 79 เจ้าบ้านได้ฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ บอร์ฆา บาเลโร่ ปั่นเฉี่ยวกรอบออกไปนิดเดียว



        นาที 82 ทีมเยือนได้โอกาสลุ้นประตูที่2 จากจังหวะปั่นลูกฟรีคิกของ เมสซี่ แต่เป็น ดีเอโก้ โลเปช โชว์ฟอร์มเหินเวหาป้องกันเอาไว้ได้



        นาที 85 เจ้าบ้านพลาดโอกาศตีเสมออย่างเหลือเชื่อเมื่อ ซานติ กาซอร์ล่า ได้โอกาสซัดเต็มข้อไม่ถึง 6 หลาแต่ บิคตอร์ บัลเดส ใช้ขาป้องกันเอาไว้ได้



        ช่วงที่เหลือไม่มีฝ่ายไหนทำอะไรได้เพิ่มอีก จบเกม บาร์เซโลน่า เก็บชัยครั้งสำคัญบุกมาเอาชนะ บียาร์เรอัล ไปได้ 1-0 เก็บอีกสามแต้มนำเป็นจ่าฝูงลา ลีกา ต่อไป ทิ้งห่าง เรอัล มาดริด ไป 8 แต้มแล้ว เมื่อเหลือการแข่งขันอีกเพียง 8 นัด



รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม



        บียาร์เรอัล :
ดีเอโก้ โลเปซ - มาริโอ กาสปาร์, กอนซาโล่ โรดริเกซ, มาเตโอ มูซัคคิโอ, โฆเซ่ มานูเอล กาตาล่า - บอร์ฆา บาเลโร่, การ์ลอส มาร์เชน่า (รูเบน กราเซีย กานี น.70), บรูโน่ โซเรียโน่, ซานติ กาซอร์ล่า - จูเซ็ปเป้ รอสซี่, มาร์โก รูเบน (นิลมาร์ น.57)

        สำรอง:
ฆวน การ์ลอส (ผู้รักษาประตู) - ชิชินโญ่, โจน กัปเดบีล่า, วากาโซ่ มูบารัค, กีโก้ โอลิบาส

        ใบเหลือง:
บรูโน่ โซเรียโน่ น.14, การ์ลอส มาร์เชน่า น.50, บอร์ฆา บาเลโร่ น.75 



        บาร์เซโลน่า :
บิคตอร์ บัลเดส - ดาเนี่ยล อัลเวส, เคราร์ด ปิเก้, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อาเดรียโน่ คอร์เรอา - ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, ติอาโก้ อัลกานตาร่า, เซย์ดู เกอิต้า (ลิโอเนล เมสซี่ น.53) - อันเดรส อิเนียสต้า, ดาบิด บีย่า (โบยาน เกร์กิช น.71), อิบราฮิม อเฟลลาย

        สำรอง:
โฆเซ่ มานูเอล ปินโต้ (ผู้รักษาประตู) - กาเบรียล มิลิโต้, อันเดรว ฟอนตาส, มาร์ติน มอนโตย่า, โจนาธาน โดส ซานโต๊ส

        ใบเหลือง:
เคราร์ด ปิเก้ น.39



        ผู้ตัดสิน:
ราฟาเอล รามิเรซ โดมิงเกซ


สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลลาลีกา สเปน
- เรอัล มาดริด แพ้ คิฆอน  0 - 1 
- เคตาเฟ่ แพ้ บาเลนเซีย  2 - 4
- บียาร์เรอัล แพ้ บาร์เซโลน่า  0 - 1









        เคราร์ด ปิเก้ สวมบทฮีโร่ซัดโทนช่วย "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า บุกซิว "เรือดำน้ำ" บียาร์เรอัล 1-0 เก็บสามแต้มเต็มรั้งจ่าฝูงมี 81 คะแนน ทิ้งห่าง "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ที่พลาดท่าพ่ายคารังเป็น 8 แต้มแล้ว โอกาสซิวแชมป์ลีกเมืองกระทิงดุของบาร์ซ่าเริ่มสดใส


การแข่งขันฟุตบอลลา ลีกา สเปน
วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2554
บียาร์เรอัล 0 - 1 บาร์เซโลน่า



สนาม: เอสตาดิโอ เอล มาดรีกาล, บียาร์เรอัล



        "เยลโล่ ซับมารีน" บียาร์เรอัล ได้ตัว นิลมาร์ กองหน้าชาวบราซิเลียน หายเจ็บขาขวากลับมาเป็นสำรอง แต่ไม่มี มาร์กอส เซนน่า มิดฟิลด์กัปตันทีมที่เจ็บเอ็นหลังหัวเข่าขวา โดยแดนหน้าวาง จูเซ็ปเป้ รอสซี่ ล่าตาข่ายคู่กับ มาร์โก รูเบน



        ทางด้าน บาร์เซโลน่า จ่าฝูงหมดสิทธิ์ใช้งาน ชาบี เอร์นานเดซ จอมทัพแดนกลางที่ติดโทษแบน รวมทั้งขาด เอริก อบิดัล ที่กำลังพักฟื้น หลังเข้ารับการผ่าตัดเนื้อร้ายบริเวณตับ ส่วน การ์เลส ปูโยล ปราการหลังกัปตันทีมอยู่ในระหว่างฟื้นฟูร่างกายในโรงยิม และ เปโดร โรดริเกซ กองหน้าตัวจี๊ดเจ็บโคนขาหนีบ



        แนวรุกวาง อันเดรีส อิเนียสต้า, ดาบิด บีย่า และ อิบราฮิม อเฟลลาย ลงล่าตาข่ายพร้อมกัน ส่วน ลิโอเนล เมสซี่ ดาวซัลโวตัวเก่งที่เจ็บโคนขาหนีบจากเกมทีมชาตินั้น ฟิตทันมีชื่อเป็นสำรองเกมนี้



        เปิดเกมขึ้นมาได้ 11 นาที เจ้าบ้านน่าจะได้ประตูขึ้นนำ เมื่อ ซานติ กาซอร์ล่า เปิดบอลขึ้นหน้าให้กับ จูเซ็ปเป้ รอสซี่ สปีดตามเข้าไปกดด้วยซ้ายทันที ทว่า บิคตอร์ บัลเดส ทิ้งตัวปัดไว้ได้บอลมาเข้าทาง มาร์โก รูเบน ซ้ำด้วยขวาโดนไม่เต็มเลยถูกเคลียร์ออกมาได้



        สามนาทีต่อมา บรูโน่ โซเรียโน่ กองกลางบียาร์เรอัล รับใบเหลืองไปเป็นคนแรกหลังจากไปเปิดปุ่มย่ำใส่หัวเข่าของ มาสเคราโน่ จนเลือดไหลออกมา ต้องกระเผลกออกมาปฐมพยาบาลกันครู่หนึ่งจึงเล่นต่อได้



        ผ่านมา 29 นาที เยลโล่ ซับมารีน มาเป็นระลอก ซานติ กาซอร์ล่า เปิดให้กับ รอสซี่ ตะบันด้วยอีขวาไม่ตรงกรอบ



        บาร์ซ่า มีโอกาสครั้งแรกในนาทีที่ 32 ดาเนี่ยล อัลเวส กดด้วยขวาจากนอกเขตโทษบอลหลุดเสาซ้ายไป



        หกนาทีให้หลัง ทีมเยือนมีโอกาสอีกครั้ง อเฟลลาย ไหลให้กับ อาเดรียโน่ คอร์เรอา ซัดด้วยขวาหน้าเขตโทษติดเซฟของ ดีเอโก้ โลเปซ นายทวารเจ้าถิ่น หมดครึ่งแรกเสมอกันอยู่ 0-0



        เข้าสู่ครึ่งหลังได้แค่สามนาที บาร์เซโลน่า เปิดฉากลุยเข้าใส่ทันที อเฟลลาย เปิดบอลให้กับ อิเนียสต้า ซัดด้วยขวาไม่ผ่านมือ ดีเอโก้ โลเปซ ที่ยืนดักทางเอาไว้แล้ว



        เกมตกเป็นของทีมเยือนมีโอกาสอีกในนาที 52 อาเดรียโน่ เปิดบอลให้กับ อัลเวส กดด้วยขวาหลุดกรอบ



        นาทีต่อมา บาร์ซ่า ส่ง ลีโอเนล เมสซี่ สตาร์ตัวเก่งชาวอาร์เจนไตน์ ลงเล่นแทน เซย์ดู เกอิต้า หวังจะพังประตูให้ได้ ส่วนเจ้าบ้านเปลี่ยนเหมือนกันให้ นิลมารร์ กองหน้าทีมชาติบราซิล ลงสนามแทน มาร์โก รูเบน ในนาที 57



        บาร์ซ่า บดหนัก ติอาโก้ เปิดต่อออกทางซ้ายให้ อเฟลลาย ล็อคแล้วยิงด้วยขวาติด ดีเอโก้ โลเปซ ที่ปัดออกมาได้ในนาที 65



        เขยิบมานาทีที่ 66 บาร์ซ่า ได้ลูกเตะมุมทางขวา ดาเนี่ยล อัลเวส เปิดเข้ากลาง เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ โหม่งเช็ดมาด้านหลังให้กับ เคราร์ด ปิเก้ พักอกแล้วซัดด้วยขวาเสียบมุมซ้ายเข้าไปให้บาร์ซ่า นำก่อน 1-0 จนได้ แม้จะดูเหมือนว่า ปิเก้ ใช้แขนซ้ายประคองก่อนยิงเข้าไปก็ตามที



        บียาร์ฯ เปลี่ยนเอา มาร์เชน่า ออกแล้วส่ง รูเบน กราเซีย กานี ลงสนามแทนในนาที 70 ส่วน บาร์ซ่า ให้ โบยาน เกร์กิช ที่หายเจ็บกลับมา ลงเล่นแทน ดาบิด บีย่า ในนาทีต่อมา



        นาที 79 เจ้าบ้านได้ฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ บอร์ฆา บาเลโร่ ปั่นเฉี่ยวกรอบออกไปนิดเดียว



        นาที 82 ทีมเยือนได้โอกาสลุ้นประตูที่2 จากจังหวะปั่นลูกฟรีคิกของ เมสซี่ แต่เป็น ดีเอโก้ โลเปช โชว์ฟอร์มเหินเวหาป้องกันเอาไว้ได้



        นาที 85 เจ้าบ้านพลาดโอกาศตีเสมออย่างเหลือเชื่อเมื่อ ซานติ กาซอร์ล่า ได้โอกาสซัดเต็มข้อไม่ถึง 6 หลาแต่ บิคตอร์ บัลเดส ใช้ขาป้องกันเอาไว้ได้



        ช่วงที่เหลือไม่มีฝ่ายไหนทำอะไรได้เพิ่มอีก จบเกม บาร์เซโลน่า เก็บชัยครั้งสำคัญบุกมาเอาชนะ บียาร์เรอัล ไปได้ 1-0 เก็บอีกสามแต้มนำเป็นจ่าฝูงลา ลีกา ต่อไป ทิ้งห่าง เรอัล มาดริด ไป 8 แต้มแล้ว เมื่อเหลือการแข่งขันอีกเพียง 8 นัด



รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม



        บียาร์เรอัล :
ดีเอโก้ โลเปซ - มาริโอ กาสปาร์, กอนซาโล่ โรดริเกซ, มาเตโอ มูซัคคิโอ, โฆเซ่ มานูเอล กาตาล่า - บอร์ฆา บาเลโร่, การ์ลอส มาร์เชน่า (รูเบน กราเซีย กานี น.70), บรูโน่ โซเรียโน่, ซานติ กาซอร์ล่า - จูเซ็ปเป้ รอสซี่, มาร์โก รูเบน (นิลมาร์ น.57)

        สำรอง:
ฆวน การ์ลอส (ผู้รักษาประตู) - ชิชินโญ่, โจน กัปเดบีล่า, วากาโซ่ มูบารัค, กีโก้ โอลิบาส

        ใบเหลือง:
บรูโน่ โซเรียโน่ น.14, การ์ลอส มาร์เชน่า น.50, บอร์ฆา บาเลโร่ น.75 



        บาร์เซโลน่า :
บิคตอร์ บัลเดส - ดาเนี่ยล อัลเวส, เคราร์ด ปิเก้, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อาเดรียโน่ คอร์เรอา - ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, ติอาโก้ อัลกานตาร่า, เซย์ดู เกอิต้า (ลิโอเนล เมสซี่ น.53) - อันเดรส อิเนียสต้า, ดาบิด บีย่า (โบยาน เกร์กิช น.71), อิบราฮิม อเฟลลาย

        สำรอง:
โฆเซ่ มานูเอล ปินโต้ (ผู้รักษาประตู) - กาเบรียล มิลิโต้, อันเดรว ฟอนตาส, มาร์ติน มอนโตย่า, โจนาธาน โดส ซานโต๊ส

        ใบเหลือง:
เคราร์ด ปิเก้ น.39



        ผู้ตัดสิน:
ราฟาเอล รามิเรซ โดมิงเกซ


สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลลาลีกา สเปน
- เรอัล มาดริด แพ้ คิฆอน  0 - 1 
- เคตาเฟ่ แพ้ บาเลนเซีย  2 - 4
- บียาร์เรอัล แพ้ บาร์เซโลน่า  0 - 1



ประมวลภาพหลังเกมการแข่งขัน


เคราร์ด ปิเก้  กับลีลาดีใจแบบใสๆ หลังพังประตูชัยให้บาร์ซ่า


ลิโอเนล เมสซี่ ถูกเปลี่ยนลงมาในครึ่งเวลาหลังเพื่อกู้วิกฤตทีมเยือน


"ป้องกันสุดชีวิต" แข้งบาร์ซ่าพร้อมใจกระโดดกันลูกฟรีคิกจากเจ้าบ้าน


เป๊ป กวาดิโอล่า กับสีหน้าแสนจะธรรมดาแม้เกมจะฝืดเพราะเชื่อมันในลูกทีม






 


เฮียมูเสียสถิติ!ราชันพ่ายคิฆอนคาบ้าน0-1

Hey \"Sport !\". :\

"ราชันขุดขาว" เรอัล มาดริด เปิดรังพ่าย สปอร์ติ้ง คิฆอน 0-1 ทำให้สถิติคุมทีมไม่แพ้ใครในบ้านของ โชเซ่ มูรินโญ่ หยุดลงหลังคุมทีมไม่แพ้ใครในบ้านนาน 9 ปี แถมเป็นการแพ้นัดแรกของฤดูกาลและยังพลาดโอกาสทำแต้มไล่จี้จ่าฝูงบาร์ซ่า โดยชุดขาวมี 73 คะแนน ตามบาร์ซ่ที่บุกเก็บชัยได้มี 81 คะแนนอยู่ 8 แต้ม


การแข่งขันฟุตบอลลา ลีกา สเปน
วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2554
เรอัล มาดริด 0 - 1 สปอร์ติ้ง คิฆอน




สนาม :
เอสตาดิโอ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว, มาดริด



        ก่อนหน้าเกมนี้จะเริ่มขึ้นได้มีการมอบรางวัลเกียรติยศให้กับ โรนัลโด้ อดีตดาวยิงร่างอวบทีมชาติบราซิลที่เคยค้าแข้งกับ "ราชันชุดขาว" เมื่อห้าปีก่อน และเพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดในปีนี้ รวมทั้งให้ โรนัลโด้ เป็นคนเขี่ยบอลเป็นพิธีก่อนเริ่มหวดแข้งด้วย



        เกมนี้ เรอัล มาดริด ไม่มีดาวดังอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ คาริม เบนเซม่า ที่มีอาการบาดเจ็บ รวมถึง ชาบี อลอนโซ่ กองกลางตัวรับที่ติดโทษแบน แต่ได้ กอนซาโล่ อิกวาอิน กลับมาประจำการที่ม้านั่งสำรองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยให้ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ออกสตาร์ทเป็นหัวหอกตัวเป้า พร้อมได้ เมซุต โอซิล กับ อังเคล ดิ มาเรีย เป็นตัวสร้างสรรค์เกมรุก



        ทางด้าน สปอร์ติ้ง คิฆอน ให้ ดาบิด บาร์ราล ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า โดยมี มิเกล เด ลาส กวยบาส และ นาโช โนโบ ช่วยกันปั้นเกมรุก



        เปิดเกมขึ้นมาได้แค่สองนาที เรอัล โหมบุกทันทีแล้วก็เกือบได้ประตูออกนำจากลูกเตะมุม ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ โขกตุงตาข่ายไปแล้ว แต่เป็นจังหวะไปฟาวล์ โรเบร์โต้ กาเนย่า ก่อนแล้วเลยชวดโอกาสขึ้นนำไป



        ผ่านมา 28 นาที ทีมเยือนมาได้ลุ้นบ้าง มิเกล เด ลาส กวยบาส ไหลบอลให้กับ อันเดร กาสโตร กดด้วยซ้ายจากหน้าเขตโทษบอลไม่เข้ากรอบ



        เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 35 เรอัล มาดริด กลับมาได้ลุ้นประตูอีกครั้ง เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ แตะบอลให้กับ อังเคล ดิ มาเรีย ยิงจากเส้น 18 หลา บีบให้ ฆวน ปาโบล โกลีนาส นายทวารคิฆอน ต้องออกแรงเซฟเอาไว้



        นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก เจ้าถิ่นได้ลุ้นต่อเนื่อง เมซุต โอซิล เปิดบอลเข้ามากลางประตู ซามี่ เคดิร่า โขกกดลงพื้นบอลหลุดเสาออกไป หมดครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0



        มาเล่นกันต่อในครึ่งหลังได้สามนาที เจ้าบ้านได้ลุ้นก่อน ดิ มาเรีย เปิดบอลให้กับ เซร์คิโอ รามอส ซัดจากนอกเขตโทษบอลหลุดออกเสาซ้ายมือของ ฆวน ปาโบล โกลีนาส นายทวารทีมเยือนไป



        เรอัล ยังเดินหน้าบดหนัก นาที 50  ดิ มาเรีย ผ่านบอลให้กับ เมซุต โอซิล ยิงด้วยซ้าย แต่โดน อัลเบร์โต้ โบเตีย ตามมาบล็อคไว้ได้ทัน โดยจังหวะนี้ โบเตีย มีอาการบาดเจ็บด้วยต้องปฐมพยาบาลกันอยู่ครู่หนึ่ง



        กระเถิบมานาทีที่ 57 เรอัล มาดริด เปลี่ยนเอา กอนซาโล่ อิกวาอีน ดาวยิงตัวฉกาจชาวอาร์เจนไตน์ที่เจ็บไปนานถึง 4 เดือน ลงสนามมาแทน เอสเตบัน กราเนโร่



        หนึ่งชั่วโมงของเกม เรอัล มาดริด น่าจะได้ประตูขึ้นนำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ อังเคล ดิ มาเรีย กระชากบอลขึ้นหน้ามาแล้วไหลออกทางขวาให้กับ กอนซาโล่ อิกวาอีน กองหน้าตัวสำรองกดด้วยขวามุมแคบแต่ไปติดแขนของ ฆวน ปาโบล โกลีนาส นายทวารของคิฆอน ออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย



        นาทีต่อมา เมซุต โอซิล ของเจ้าถิ่นพลิ้วเข้าไปจ่ายให้กับ ดิ มาเรีย ส่องด้วยซ้ายโดน ฆวน ปาโบล โกลีนาส เซฟได้อีก



        เขยิบมาถึงนาทีที่ 71 เรอัล มาดริด เปลี่ยนเอา เซร์คิโอ กานาเลส ลงมาเล่นแทน อังเคล ดิ มาเรีย พร้อมให้ เปเป้ ปราการหลังชาวโปรตุกีส เล่นแทน อัลบาโร่ อาร์เบลัว ในแนวรับ



        อย่างไรก็ดี นาทีที่ 78 ทีมเยือนพลิกขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ นาโช่ กาเซส จ่ายบอลจากทางซ้ายมาให้กับ มิเกล เด ลาส กวยบาส ยิงด้วยขวาหักข้อส่งบอลเสียบเสาแรกงามหยด และเป็นประตูที่ 4 ของเจ้าตัวในลา ลีกา ซีซั่นนี้



        เชิ้ตดำทดเวลาบาดเจ็บถึง 4 นาที และเป็นชุดขาวที่พับสนามบุกแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ผู้เล่น คิฆอนช่วยกันตั้งรับเอาไว้ได้ จบเกม สปอร์ติ้ง คิฆอน พลิกล็อคสุดๆ บุกมาเอาชนะ เรอัล มาดริด ได้ถึงถิ่น 1-0 จากความพ่ายแพ้แบบสุดพลิกล็อกของเรอัล มาดริด ต่อสปอร์ติ้ง คิฆอน 0-1 คารัง ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ทำให้กุนซือมาดขรึมเสียสถิติชนะรวด 14 นัดเกมลีกในบ้าน และยังเป็นการพ่ายคารังในเกมลีกครั้งแรกรอบ 9 ปีด้วยเกมสุดท้ายที่มูรินโญ่นำทีมพ่ายต่อหน้าแฟนบอลตัวเอง เกิดขึ้นในสมัยคุมปอร์โต้ ในเกมที่โดนไบรา มาร์ บุกมาเชือด ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2002



รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม



        เรอัล มาดริด :
อีเกร์ กาซียาส (กัปตันทีม) - เซร์คิโอ รามอส, ราอูล อัลบิโอล, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, อัลบาโร่ อาร์เบลัว - ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า, ซามี่ เคดิร่า -  เอสเตบาน กราเนโร่, เมซุต โอซิล, อังเคล ดิ มาเรีย - เอ็มมานูเอล อเดบายอร์

        สำรอง:
เยอร์ซี่ ดูเด็ค (ผู้รักษาประตู) - เอเซเกล การาย, เปเป้, เซร์คิโอ กานาเลส, ฆวน การ์ลอส, ฆวนฟราน โมเรโน่, กอนซาโล่ อิกวาอิน



        สปอร์ติ้ง คิฆอน:
ฆวน ปาโบล โกลีนาส - อัลเบร์โต้ รามอส, อัลเบร์โต้ โบเตีย, อีบัน เอร์นานเดซ, โรเบร์โต้ กาเนย่า - นาโช่ กาเซส, อัลเบร์โต้ ริเบร่า - มิเกล เด ลาส กวยบาส, นาโช โนโบ, อันเดร กาสโตร - ดาบิด บาร์ราล

        สำรอง :
ราอูล โดมิงเกซ (ผู้รักษาประตู) - เกรกอรี่ อาร์กโนแล็ง, เซบาสเตียน เอกูเรน, การ์เซีย เปเรซ อโยเซ่, โฆเซ่ อังเคล, เซร์คิโอ อัลบาเรซ, กาสตอน ซานกอย        


     ผู้ตัดสิน:
โฆเซ่ หลุยส์ กอนซาเลซ


สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลลาลีกา สเปน
- เรอัล มาดริด แพ้ คิฆอน  0 - 1 
- เคตาเฟ่ แพ้ บาเลนเซีย  2 - 4
- บียาร์เรอัล แพ้ บาร์เซโลน่า  0 - 1







ประมวลภาพหลังเกมการแข่งขัน




โรนัลโด้ อดีตดาวยิง "ราชันชุดขาว" ได้รับเกียรติเขี่ยบอลเริ่มเกม


"เฮียมู" เสียสถิติการคุมทีมในบ้านไม่เคยแพ้ในรอบ 9 ปี


เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ทุ่มสุดตัวสุดท้ายก็บวกสกอร์ให้ชุดขาวไม่ได้


"ชัยชนะเหนือราชัน" แข้งสปอร์ติ้ง คิฆอน ต่างพากันดีใจหลังบุกพิชิตชุดขาว 1-0






เฟอร์กี้ชมเปาะผีฟอร์มเทพ!พลิกชนะขุนค้อน

Hey \"Sport !\". :\

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปลื้มสุดๆ หลังลูกทีมโชว์ฟอร์มแกร่งพลิกสถานการณ์จากตกเป็นรอง 2 ลูกกลับมาเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 4-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา บอกเล่นได้อย่างนี้สมควรเป็นแชมป์ที่สุดแล้ว โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่ทำเกมได้ดีกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด พร้อมรับ เนมานย่า วิดิช กองหลังชาวเซิร์บ โชคดีมากที่ไม่โดนไล่ออกจากจังหวะดึง เดมบา บา กองหน้า "ขุนค้อน" ล้มลงก่อนจบครึ่งแรกไม่นาน


        เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกโรงชื่นชมฟอร์มการเล่นของลูกทีมหลังสวมหัวใจสิงห์พลิกสถานการณ์จากตกเป็น รอง 0-2 กลับมาเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด  4-2 ในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา  


         ชัยชนะของ "เร้ด เดวิลส์" ได้มาจากการซัดคนเดียว 3 ประตูของ เวย์น รูนี่ย์ กองหน้าทีมชาติอังกฤษ ในนาทีที่ 65, 73 และลูกจุดโทษในนาทีที่ 79 ก่อนที่ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ จะมายิงปิดกล่องได้ในนาทีที่ 84 ส่วนทีม "ขุนค้อน" ได้ 2 ประตูจากลูกจุดโทษในครึ่งแรกของ มาร์ค โนเบิล ในนาทีที่ 11 และ 25 


         เฟอร์ กูสัน กล่าวผ่านสำนักข่าว "สกาย สปอร์ตส์" แห่งเมืองผู้ดีว่า "ผมคิดว่าพวกเราเล่นเหมือนเป็นแชมป์ในวันนี้ พวกเราสู้ไม่ถอย พวกเราไม่สูญเสียความศรัทธาในความสามารถของตัวเรา และนั่นเป็นสิ่งที่น่ายกย่องสุดๆ มันไม่ได้เป็นสถานที่ที่ง่ายเลย เวสต์แฮม กำลังสู้เพื่อรอดจากการตกชั้น และผลการแข่งขันเช่นนี้อาจทำให้พวกเขาเจอกับปัญหา แต่พวกเราก็ทำหน้าที่ของเรา พวกเราเล่นได้ดีมากในครึ่งหลัง และสมควรเป็นผู้ชนะ มันเป็นฟอร์มการเล่นของแชมป์อย่างแท้จริง" 
  

         นอก จากนั้น "เฟอร์กี้" ยังยอมรับว่าจังหวะที่ เนมานย่า วิดิช ปราการหลังชาวเซอร์เบีย ดึง เดมบา บา ล้มลงก่อนหมดครึ่งแรกไม่นาน เป็นการทำฟาวล์อย่างโจ่งแจ้ง สมควรเป็นใบแดง แต่โชคช่วยผู้ตัดสินใจดีให้แค่ใบเหลือง โดยกล่าวว่า "เขาอาจถูกไล่ออกได้จากจังหวะนั้น เขาโชคดี มันอาจจะหนักไป แต่เขาสามารถโดนไล่ออกได้"


         ด้าน อัฟราม แกรนท์ กุนซือ เวสต์แฮม บ่นอุบลูกทีมทำดีแต่เกมรุก ส่วนเกมรับเล่นไม่ได้เรื่อง โดยระบุว่า "มันน่าผิดหวัง เนื่องจากนำไปก่อน 2-0 และเราก็เล่นได้ดี แต่พวกเราไม่มีเกมรับที่ดีในครึ่งหลัง พวกเราเปิดช่องว่างให้พวกเขามากจนเกินไป พวกเขาคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขาเล่นได้ดี เมื่อคุณให้ช่องว่างกับพวกเขา"  
  

         นอก จากนี้ แกรนท์ ยังกล่าวถึงจังหวะที่ วิดิช สมควรโดนไล่ออกว่า "เขาเป็นนักเตะคนสุดท้าย ดังนั้นหากเป็นการฟาวล์ มันก็น่าจะเป็นใบแดง ผมจำเป็นต้องดูภาพอีกครั้ง"


คิงเคนนี่เป็นงงกับลูกโทษที่2แบ็กกี้ส์

Hey \"Sport !\". :\

 เคนนี่ ดัลกลิช นายใหญ่ ลิเวอร์พูล รับงงสุดๆ กับลูกจุดโทษที่ 2 ของ เวสต์บรอมฯ จี้ใครก็ได้ออกมาแจงที ทำไมบางครั้งลูกจุดโทษต้องมาจากการตัดสินของไลน์แมน ยันเรื่องปัญหานักเตะควงกันเดี้ยง ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำใจยอมรับให้ได้

 



        เคนนี่ ดัลกลิช ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ออกมายอมรับว่า ตนรู้สึกมึนงงกับคำตัดสินของ มาร์ติน แอตกินสัน กรรมการคนดัง ที่เป่าให้ลูกจุดโทษครั้งที่ 2 แก่ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในช่วงท้ายเกม พรีเมียร์ลีก นัดที่ "หงส์แดง" บุกไปแพ้ "เดอะ แบ็กกี้ส์" 1-2 เมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่า เป็นลูกจุดโทษที่ขาดความชัดเจน และเกิดขึ้นจากการตัดสินของผู้กำกับเส้นอีกด้วย



        เกมนี้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำไปก่อน 1-0 จาก มาร์ติน สเคอร์เทล นาทีที่ 50 แต่ต้องกลับมาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เวสต์บรอมฯ 1-2 ที่ได้ทั้ง 2 ประตูจากการเหมายิงจุดโทษของ คริส บรันท์ นาทีที่ 62 และ 88 โดย "คิงเคนนี่" รับได้กับลูกโทษครั้งแรก แต่กลับรู้สึกคาใจกับลูกโทษที่ 2 เมื่อ โฆเซ่ มานูเอล เรน่า นายทวารชาวสแปนิช ไปขัดขา ปีเตอร์ โอเด็มวิงกี้ กองหน้าเจ้าถิ่น ล้มลงในเขตโทษ ซึ่งตอนแรก แอตกินสัน ยังไม่ตัดสินใจให้เป็นลูกโทษ ก่อนได้รับการยืนกรานจากผู้กำกับเส้น 



        นายใหญ่ "เดอะ เร้ดส์" กล่าวแบบเซ็งๆ ว่า "เราขึ้นนำก่อน แต่พวกเขาก็กลับมาได้ด้วยสองลูกจุดโทษ คุณสามารถโต้แย้งได้อยู่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาได้ลูกโทษ หรือไม่ได้ลูกโทษ แต่ผมคิดว่า มันต้องมีใครสักคนออกมาอธิบายให้ฟังด้วยว่า ทำไมบางครั้งผู้ตัดสินถึงเป่าให้เป็นลูกโทษด้วยตัวเองได้ และทำไมบางครั้งถึงปล่อยให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้กำกับเส้น"



        "เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ในเกมที่ ซันเดอร์แลนด์ (ลิเวอร์พูล บุกไปชนะ 2-0) เราได้ลูกโทษจากไลน์แมนที่คัดค้านมุมมองของผู้ตัดสิน ตอนนั้นพวก ซันเดอร์แลนด์ รู้สึกผิดหวังมาก ส่วนพวกเราเองก็งงๆ อยู่เหมือนกัน" กุนซือเลือดวิสกี้ เอ่ย



        นอกจากจะแพ้แล้ว แมตช์นี้ ลิเวอร์พูล ยังต้องเสียสองกองหลังอย่าง เกล็น จอห์นสัน และ แดเนี่ยล แอ็กเกอร์ ที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างเกมอีกด้วย สำหรับเรื่องนี้ ดัลกลิช ชี้ว่า ต้องทำใจยอมรับให้ได้ โดยระบุว่า "เมื่อนักเตะเหล่านี้มีชื่ออยู่ในทีม มันก็แปลว่า พวกเขาสามารถเล่นได้ และสมควรที่จะได้ลงเล่นด้วย พวกเขาอาจจะดูมีปัญหาที่ขาอยู่นิดหน่อย แต่ เวสต์บรอมฯ เองก็ขาดผู้เล่นถึง 14 คน เพราะฉะนั้นพวกเขาก็มีผู้เล่นเหลือให้ใช้งานน้อยเช่นกัน"



        "เราเสีย สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไปก่อนเกม หลังจากนั้นในเกมเราก็มาเสีย เกล็น กับ แดเนี่ยล แอ็กเกอร์ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องรับมือกับมันให้ได้ และพยายามทำให้ดีที่สุดกับขุมกำลังนักเตะที่เหลืออยู่ ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่า พวกเขาจะต้องพักแข้งนานแค่ไหน เกล็น ดูเหมือนมีอาการเอ็นหลังหัวเข่าตึง"



        "ส่วน แดเนี่ยล ดูเหมือนเอ็นด้านหลังหัวเข่าได้รับความเสียหาย แต่อาการของทั้งสองคนดูไม่อันตรายเท่าไหร่ สำหรับ สตีเว่น นั้น เจ็บตอนลงซ้อมก่อนเกม ซึ่งเราก็จะต้องประเมินดูอาการของเขาอีกที เราจะได้รู้กันในสัปดาห์นี้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหน และจะต้องพักนานเพียงใด" ตำนานเบอร์ 7 แห่งถิ่น แอนฟิลด์ ตบท้าย






รูนชม!ชิชา,เบิร์บยอดแข้งสำรองนำผีทุบค้อน

Hey \"Sport !\". :\

เวย์น รูนี่ย์ หัวหอกเลือดผู้ดีของ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยกย่องขุมกำลังสำรองทั้ง ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ กับ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ในแมตช์ทุบ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 4-2 เกมลีก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา



        เวย์น รูนี่ย์
กองหน้าทีมชาติอังกฤษของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่าฝูงแห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมากล่าวชมบรรดาผู้เล่นสำรอง ทั้ง ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ และ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ  ในแมตช์ที่พลิกนรกกลับมาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 4-2 ที่สนาม อัพตัน พาร์ค เมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา



        เกมนี้ "ขุนค้อน" ได้ประตูนำไปก่อนจาก 2 จุดโทษในครึ่งแรก ส่วนครึ่งหลังเกมพลิกกลับเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยพวกเขาส่ง เอร์นานเดซ กับ เบอร์บาตอฟ ลงเล่นแทน ปาทริซ เอวร่า และ พาร์ค ชี-ซอง ตามลำดับ และก็ไม่ผิดหวังเพราะ "ชิชาริโต้" ยิงได้ 1 ประตูในแมตช์นี้ด้วย



        อดีตดาวรุ่ง เอฟเวอร์ตัน ซึ่งซัดแฮตทริกถล่ม เวสต์แฮม ให้ความเห็นว่า "(ดิมิทาร์) เบอร์บาตอฟ ครองบอลได้อย่างสุดยอด และทำให้หลายๆ สิ่งเกิดขึ้น บรรดาผู้เล่นสำรองเป็นนักเตะสำรองชั้นดี และพวกเขาก็ช่วยทำให้เราเก็บชัยชนะในเกมนี้ได้สำเร็จ"



        "มันเป็นสถานที่ยากลำบากมาก (อัพตัน พาร์ค) เราเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นตั้งแต่ครึ่งแรก และรู้ว่าถ้าเรายิงประตูแรกได้ (ในครึ่งหลัง) เราก็มีโอกาสชนะ ผู้จัดการทีม (เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) บอกให้เราสู้ต่อไป เอร์นานเดซ และ เบอร์บาตอฟ ถูกเปลี่ยนตัวลงมา และทำผลงานได้ดี พวกเขาเป็นตัวสำรองชั้นดี และช่วยให้เราชนะในเกมนี้" รูนี่ย์ ระบุ


รูนี่ย์สำนึกผิดขอโทษกรณีสบถคำหยาบใส่กล้องทีวี

Hey \"Sport !\". :\

เวย์น รูนี่ย์ ดาวยิงทีมชาติอังกฤษของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รีบออกมาขอโทษกรณีเปรี้ยว สบถคำหยาบใส่กล้องทีวี หลังซัดแฮตทริกในแมตช์ชนะ เวสต์แฮม 4-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ยอมรับ เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่ยืนยัน ไม่ได้เจตนาจะด่าใครคนใดคนหนึ่งแน่นอน



        เวย์น รูนี่ย์
กองหน้าเลือดเดือดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โคตรทีมแห่งวงการลูกหนังเมืองผู้ดี ออกมากล่าวขอโทษ กรณีที่พูดจากวนประสาทใส่กล้องทีวีตอนที่ยิงประตูได้ ในแมตช์ที่พลิกนรกชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 4-2 ที่สนาม อัพตัน พาร์ค เมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา



        "รูน" ระเบิดอารมณ์สุดขีดหลังซัดแฮตทริก ด้วยการวิ่งเข้าไปหากล้องทีวี พร้อมกับสบถคำพูดออกมาอย่างสะใจ โดยเจ้าตัวเป็นผู้เล่นสำคัญที่ช่วยให้ "ปีศาจแดง" พลิกสถานการณ์ที่ตกเป็นรอง เวสต์แฮม 0-2 ในครึ่งแรก ก่อนจะยิง 4 ลูกรวดในครึ่งหลัง คว้า 3 คะแนนไปอย่างสุดยอด



        สำหรับกรณีนี้ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ระบุ พวกเขาจะทำการตรวจสอบเทปดังกล่าว ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะลงโทษหัวหอกทีมชาติอังกฤษหรือไม่  อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดเผยว่า ที่นักเตะแสดงพฤติกรรมแบบนั้น ก็เพราะอารมณ์ที่สะใจ หลังพาทีมขึ้นนำได้สำเร็จ



        "ผมอยากกล่าวขอโทษสำหรับการกระทำดังกล่าวที่เกิดขึ้นจากการ ฉลองประตูของผม โดยเฉพาะบรรดาพ่อแม่ หรือเด็กๆ ที่ได้ดูเกมนี้ มันเป็นเรื่องของอารมณ์ที่พุ่งพล่านออกมา และเป็นผลจากความสะใจของผมที่แสดงออกมาอย่างไม่เหมาะสม สิ่งที่ผมทำ ผมไม่มีเจตนาที่จะเฉพาะเจาะจงไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง" รูนี่ย์ ระบุ


ปืนกระสุนด้าน!เจ๊ากุหลาบ10ตัว0-0ห่าง7แต้ม

Hey \"Sport !\". :\

"ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ดูเหมือนลำปืนจะฝืดเสียแล้วเมื่อ เปิดบ้านทำได้เพียงเสมอกับ "กุหลาบไฟ" แบล็คเบิร์น โรเวอร์สแบบไร้สกอร์ 0-0 แบ่งกันไปทีมละแต้ม ปืนโตมี 59 คะแนนตามแมนฯยูที่มี 66 คะแนนอยู่ 7 คะแนน แต่แข่งน้อยกว่าอยู่ 1 นัด ขณะที่แบล็คเบิร์นมี 34 แต้มขยับขึ้นที่ 15 ห่างโซนตกชั้น 2 แต้มยังต้องลุ้นหนีตกชั้นต่อไป






วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2554
อาร์เซน่อล 0 - 0 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส



สนาม : เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม



        เกมระหว่างทีมก็ต้องการเก็บชัยชนะเพื่อรักษาโอกาสลุ้นแชมป์ อย่าง อาร์เซน่อลและ ทีมที่ต้องการแต้มเพื่อหนีโซนตกชั้นอย่าง แบล็คเบิร์น



        เกมนี้ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือเจ้าถิ่นได้ กัปตันทีม เชส ฟาเบรกาส หายเจ็บกลับมาแล้วแต่ยังให้นั่งสำรองก่อนส่วน เช่นเดียวกับ อาบู ดิยาบี้ ส่วน ธีโอ วัลค็อตต์ และ อเล็กซ์ ซง ที่หายแล้วส่งลงตัวจริงทันที



        ด้านทีมเยือน แบล็คเบิร์น ของ สตีฟ คีน ขาด กาแอล ชิเว่ต์ ที่ติดโทษแบน แต่มีข่าวดีเมื่อได้ เดวิด ดันน์ มิดฟิลด์จอมทัพหายเจ็บกลับมาแต่ยังให้นั่งสำรองก่อน ส่วน คริสโตเฟอร์ แซมบ้า ฟิตเต็มที่ลงเป็นตัวจริง



        เริ่มเกมขึ้นมาในช่วง 10 นาทีแรก เจ้าบ้านอาร์เซน่อล เดินหน้าบุกแหลกเพื่อหวังขึ้นนำเร็ว และก็มีโอกาสจะๆถึงสองครั้ง ในนาทีที่ 4 จากการยิงของ อเล็กซ์ ซง แต่บอลไปโดน คริสโตเฟอร์ แซมบ้า บล็อกลูกยิงเอาไว้ได้แต่บอลก็เกือบไหลเข้าประตูตัวเองแต่กองหลังก็ยัง เคลียร์ได้ทัน



        และอีกจังหวะในนาทีที่ 6 ของ ธีโอ วัลค็อตต์ ที่มีโอกาสได้ยิงจ่อๆระยะ 6 หลาทางมุมขวาของประตูแต่เป็น พอล โรบินสัน ที่ยิงปิดมุมดี ปัดออกหลังไปได้



        นาทีที่ 13 เกมต้องหยุดลงชั่วคราว เมื่อ ซามีร์ นาสรี่ กองกลางเจ้าถิ่นพยายามขึ้นโหม่งลูกโยนของ กาแอล กลิซี่ แต่หัวไปโขกกับหัวของ ไรอัน เนลเซ่น จนเจ็บต้องเรียกแพทย์มาดูอาการก่อนจะออกไปเช็กอาการกันอีกทีที่ข้างสนาม โดยเบื้องต้นหัวของ นาสรี่ ปูดจนคล้ายลูกมะนาวทีเดียว



        เกมกลับมาดำเนินต่อและผ่านเข้าสู่ครึ่งทางของครึ่งแรก เกมส่วนใหญ่ยังเป็นของเจ้าบ้าน เมื่อได้ครองบอลบุกโดยตลอด ส่วนแบล็คเบิร์น ก็ถอยลงไปเล่นรับแล้วรอสวนกลับซะเป็นส่วนใหญ่ แต่บอลของทั้งสองทีมมักจะไปเสียในจังหวะสุดท้ายมากกว่า



        นาทีที่ 29 เจ้าบ้านน่าได้ประตูนำอย่างที่สุด เมื่อ แจ็ค วิลเชียร์ พาบอลขึ้นมาตรงกลางประตูก่อนจะจ่ายให้ ฟาน เพอร์ซี่ ไหลต่อให้ ซามีร์ นาสรี่ ทางขวาแล้วตบเข้ากลางให้ วิลเชียร์ ที่วิ่งเติมขึ้นไปแปด้วยซ้ายโล่งๆ แต่กลับแปไม่ดีบอลไม่ตรงกรอบออกหลังไปอย่างเหลือเชื่อ



        นาทีที่ 32 กองเชียร์ทีมเยือนได้ลุ้นบางเมื่อ มาร์ติน โอลส์สัน ยิงบอลแฉลบ กาแอล กลิชี่ เปลี่ยนทางเล็กน้อยบอลพุ่งตรงตัว อัลมูเนีย แต่เจ้าตัวพลาดรับบอลไม่อยู่แฉลบออกไปอย่างแบบหวาดเสียว



        เกมยังเป็นอาร์เซน่อล ที่เดินเกมบุกเข้าใส่โดยตลอดแต่ในช่วงทดเจ็บ แบล็คเบิร์น น่าจะได้ประตูนำอย่างที่สุดเมื่อ พอล โรบินสัน โยนลูกฟรีคิกยาวเข้ามาหน้าประตู อัลมูเนีย พยายามออกมารับแต่โดย สตีเว่น เอ็นซอนซี่ โฉบ มาโหม่งได้ก่อนแต่บอลไม่ตรงกรอบออกหลังไปนิดเดียวไม่งั้นเสียประตูแน่ หลังจากนั้นทำอะไรกันไม่ได้ จบครึ่งแรก เสมอกันอยู่ 0-0



        ครึ่งหลังทั้งสองทีมยังไม่มีการเปลี่ยนตัว โดยรูปเกมในช่วงต้นยังเป็นเหมือนกับในครึ่งแรกที่ อาร์เซน่อล เดินเกมบุกเข้าใส่ทีมเยือนอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังหาจังหวะยิงจะๆไม่ได้เลย



        นาทีที่ 55 เจ้าบ้านมีโอกาสลุ้นขึ้นนำอีกครั้งเมื่อได้ลูกเตะมุม ซามีร์ นาสรี่ โยนเข้าไปให้ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ โหม่งแต่บอลได้ตรงตัว พอล โรบินสัน รับเอาไว้ได้ไม่ยาก



        ถึงนาทีที่ 58 อาร์เซน เวนเกอร์ ทนไม่ไหวต้องส่ง เชส ฟาเบรกาส ลงไปทำเกมแทน อังเดร อาร์ชาวิน ที่โชว์ฟอร์มไม่ออก ส่วน แบล็คเบิร์น ก็แก้เกมโดยส่ง  เจสัน โรเบิร์ตส์ ลงแทน โรเก้ ซานตา ครูซ ในนาทีที่ 62



        เกมผ่านถึงนาทีที่ 73 "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อลส่ง มารูยาน ชามัค ลงมาเสริมกองหน้าโดย มาแทน ธีโอ วัลค็อตต์



        แต่แล้วในนาทีที่ 76 แบล็คเบิร์น ต้องมาเหลือ 10 คนเมื่อ สตีเว่น เอ็นซอนซี่ ไปย่ำสองเท้าใส่ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ ผู้ตัดสิน ฟิล ดาว์น แจกใบแดงไล่ออกจากสนามทันที หลังจากตัวผู้เล่นมากกว่าก็ส่ง นิคลาส เบนด์เนอร์ ลงมาแทน ซามีร์ นาสรี่ เพื่อเพิ่มแนวรุกทันที



        นาทีที่ 78 แฟนบอลอาร์เซน่อล เกือบได้เฮเมื่อเจ้าบ้านได้ลุ้นประตูจากจังหวะที่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ตอกส้นให้ แจ็ค วิลเชียร์ ปาดเข้ากลางให้ มารูยาน ชามัค ยิงโล่งๆแต่ไปติด มาร์ติน โอลส์สัน ที่ล้มตัวบล็อกเอาไว้ได้ทัน



        ก่อนหมดเวลา 1 นาที อาร์เซน่อล ที่โหมบุกอย่างหนักก็มาได้ลุ้นอีกครั้งจากลูกเตะมุมของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ บอลเลยมาถึง นิคลาส เบนท์เนอร์ ได้โหม่งเต็มหัวที่เสาสองแต่โชคไม่ดีบอลไปติดตัวของ มิเชล ซัลกาโด้ ที่เฝ้าเสาอยู่ออกหลังไป



        ในช่วงทดเจ็บ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก็เกือบทำประตูชัยได้เมื่อได้โขกลูกโยนของ บาการี่ ซาญ่า แต่บอลก็ข้ามคานออกหลังไปแบบน่าเสียดาย หลังจากนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ จบเกม อาร์เซน่อล ทำได้แค่เสมอกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 0-0 ทำให้มีแต้มตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด จ่าฝูงถึง 7 แต้มแม้จะยังเหลือเกมในมืออยู่อีก 1 นัดก็ตาม 



รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม


tab
        อาร์เซน่อล :
มานูเอล อัลมูเนีย, บาการี่ ซาญ่า, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่, เซบาสเตียง สกิลลาชี่, กาแอล กลิชี่, อเล็กซ์ ซง, แจ็ค วิลเชียร์, ธีโอ วัลค็อตต์ (มารูยาน ชามัค น.73), ซามีร์ นาสรี่ (นิคลาส เบนด์เนอร์ น.78), อันเดร อาร์ชาวิน (เชส ฟาเบรกาส น.58), โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ 

        สำรอง :
เยนส์ เลห์มันน์, อาบู ดิยาบี้,  โทมัส โรซิคสกี้, เอ็มมานูเอล เอบูเอ้



        แบล็คเบิร์น :
พอล โรบินสัน, มิเชล ซัลกาโด้, ไรอัน เนลเซ่น, คริสโตเฟอร์ แซมบ้า, มาร์ติน โอลส์สัน, เจอร์เมน โจนส์, สตีเว่น เอ็นซอนซี่, แบร็ตต์ เอเมอร์ตัน, ฟิล โจนส์ (เดวิด ดันน์ น.90), ดาวิด ฮอยเล็ตต์, โรเก้ ซานตา ครูซ (เจสัน โรเบิร์ตส์ น.62)

        สำรอง :
มาร์ค เบิร์นน์, รูเบน โรชิน่า, เบนจานี่ เอ็มวารูวารี่, แกรนท์ ฮานลี่ย์, มาเม่ บิรัฟ ดิยุฟ



สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ


- เวสต์แฮม แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด  2 - 4
- เบอร์มิงแฮม ชนะ โบลตัน  2 - 1
- เอฟเวอร์ตัน เสมอ แอสตัน วิลล่า  2 - 2
- นิวคาสเซิ่ล ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน  4 - 1
- สโต๊ค ซิตี้ เสมอ เชลซี   1 - 1
- เวสต์บรอมวิช ชนะ ลิเวอร์พูล  2 - 1
- วีแกน เสมอ สเปอร์ส  0 - 0
- อาร์เซน่อล เสมอ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส  0 - 0





ประมวลภาพหลังเกมการแข่งขัน




สตีเว่น เอ็นซอนซี่ ของทีมเยือนถูกไล่ออก เหตุย่ำสองเท้าใส่ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่



 เชส ฟาเบรกาส ถูกส่งลงมาแทน อันเดร อาร์ชาวิน หวังพลิกสถานการ์ณให้ปืนโต 




อาร์แซน เวนเกอร์  ออกอาการเครียดสุดๆ หลังทีมปืนโตทำได้เพียงเสมอรับแต้มเดียว


ปาโต้เบิ้ล,ไล่ฝั่งละคน!มิลานยำอินเตอร์เละ3-0

Hey \"Sport !\". :\

อเล็กซานเดร ปาโต้ ซัดคนเดียวสองตุงช่วย "ปีศาจแดง-ดำ" เอซี มิลาน เปิดบ้านอัด "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน 3-0 รับสามแต้มรั้งจ่าฝูงต่อมี 65 คะแนน ทิ้งรองฝูง อินเตอร์ ที่มี 60 คะแนนเป็น 5 แต้ม ขณะที่เหลือการแข่งขันอีกเพียง 7 นัด ใน "ดาร์บี้แมตช์เมืองมิลาน" เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา


ฟุตบอล กัลโช่เซเรีย อา อิตาลี
วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2554
เอซี มิลาน 3 - 0 อินเตอร์ มิลาน



สนาม : ซาน ซีโร่





     ศึกชิงจ่าฝูงและดาร์บี้แม็ตซ์ครั้งที่ 176 แห่งเมืองมิลาน ระหว่างทีมอันดับ 1 และอันดับ 2 ของตาราง โดยอินเตอร์มีแต้มตามหลังมิลานอยู่ 2 แต้มก่อนเริ่มเกมนี้ โดยทีมปีศาจแดง-ดำ ไม่มี ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หัวหอกตัวเก่งโดนแบน แต่ฝั่งงูใหญ่ก็ขาด ลูซิโอ กองหลังคนสำคัญติดโทษพักแข้งเช่นกัน


     เริ่มเกมมาเพียง 57 วินาที ทางฝั่งมิลานได้ประตูออกนำอย่างรวดเร็วจากจังหวะที่ อเล็กซานเดร ปาโต้ จ่ายบอลให้ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ เบิ้ลคืนเข้าเขตโทษ โรบินโญ่โฉบไปเอาติด ชูลิโอ เซซาร์ ที่ออกมาบล็อก บอลยังปลิ้นไปเข้าทาง ปาโต้ ที่วิ่งมาซัดตุงตาข่าย ขึ้นนำ 1-0


     นาทีที่ 11 คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ ยิงไปติดแขนของ ไมค่อน แต่ผู้ตัดสินก็ไม่ให้เป็นจุดโทษและปล่อยให้เกมดำเนินต่อไป


     นาทีที่ 15 มิลาน ได้ฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษในระยะ 20 หลา ก่อนที่ ปาโต้ จะยิงออกไปแบบไม่ได้ลุ้น


     ถัดมาอีกเพียงนาทีเดียวทางฝั่งอินเตอร์ได้โอกาสลุ้นบ้าง จากฟรีคิกทางฝั่งขวาหน้ากรอบเขตโทษของมิลาน สไนเดอร์ รับหน้าที่ยิง แต่บอลลอยออกไปแบบไม่ได้ลุ้นเช่นกัน


     นาทีที่ 18 เซดอร์ฟ ได้โอกาสวอลเลย์หน้ากรอบเขตโทษ ก่อนที่เจ้าตัวจะยิงข้ามคานออกไปไกล


     นาทีถัดมา จามเปาโล ปาซซินี่ ได้โอกาสเลี้ยงเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษ ก่อนจะโดน คริสเตียน อับเบียติ เซฟได้อย่างสุดสวย


     นาทีที่ 23 โกรัน ปานเดฟ ได้โอกาสยิงทางหน้ากรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะยิงออกข้างไปแบบไม่ได้ลุ้น


     นาทีถัดมา ปาโต้ มีโอกาสยิงจากการผ่านบอลของ พริ๊นซ์ บัวเต็ง บอลแฉลบกองหลังอินเตอร์ออกไปแบบได้ลุ้น


     นาทีที่ 26 โรบินโญ่ รับใบเหลืองแรกของเกมจากจังหวะพุ่งล้มในกรอบเขตโทษ


     นาทีที่ 37 เจ้าบ้าน น่าได้ประตูสุดๆ จากการยิงไกลหน้ากรอบเขตโทษอินเตอร์ ของ มาร์ค ฟาน บอมเบล บอลไปแฉลบขาของ คริสเตียน คิวู ไปชนคานอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ ชูลิโอ เซซ่าร์ ยืนขาตายหมดสิทธิ์เซฟแน่นอนแล้ว


     นาทีถัดมา อินเตอร์ พลาดได้ประตูตีเสมอจากจังหวะที่ เอโต้ ได้โหม่งจ่อๆระยะ 6 หลาแต่ไปติดเซฟของ อับเบียติ อย่างน่าเสียดาย


     นาทีที่ 41 ก็มีใบเหลืองที่ 2 ของเกมจากจังหวะที่ ไมค่อน เสียบโรบินโญ่จากด้านหลัง


     นาทีที่ 43 อินเตอร์ น่าได้ประตูตีเสมอแบบสุดๆ จากจังหวะที่ โกรัน ปานเดฟ ตักบอลเข้ากลางให้ ซามูเอล เอโต้ ยิงเน้นๆระยะ 6 หลาหลุดออกนอกกรอบไปอย่างไม่น่าเชื่อ


     เริ่มเกมครึ่งหลังรูปเกมยังคงเป็นไปอย่างสูสีก่อนที่นาทีที่ 53 ฟาน บอมเบล จะรับใบเหลืองเป็นคนที่ 3 ของเกมและคนที่ 2 ของมิลาน จากจังหวะที่เข้าเสียบ ปานเดฟ จากข้างหลัง


     นาทีถัดมา อินเตอร์ ก็ต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน จากจังหวะที่ คริสเตียน คิวู ไปเจตนาทำฟาวล์ ปาโต้ ที่ได้โอกาสหลุดเดี่ยวเข้าไปทำประตู ผู้ตัดสินไม่รีรอควักใบแดงไล่เจ้าตัวออกจากสนามทันที และจากจังหวะต่อเนื่องนี่เองที่เกือบทำให้มิลานได้ประตูนำเป็น 2-0 จากจังหวะยิงฟรีคิกทะลุกำแพงของ ติอาโก้ ซิลวา แต่ถูกเซฟโดยเซซ่าร์อย่างหวุดหวิด


     นาทีที่ 63 ปีศาจแดงดำ ก็ออกนำ งูใหญ่ เป็น 2-0 จนได้ในจังหวะกึ่งยิงกึ่งผ่านเข้าไปในเขตโทษของ อบาเต้ ก่อนที่ ปาโต้ จะโฉบเข้าไปโหม่งระยะเผาขนผ่านมือเซซ่าร์เข้าไป


     นาทีที่ 65 ซามบร็อตต้า ก็มาได้ใบเหลืองจากจังหวะที่เสียบผู้เล่นอินเตอร์จากด้านหลัง


     นาทีที่ 66 มิลาน น่านำห่างเป็น 3-0 จากจังหวะหลุดเข้าไปยิงของ โรบินโญ่ แต่ไปติดเซฟของ ชูลิโอ เซซ่าร์


     นาทีที่ 72 โรบินโญ่ หลุดเข้าไปยิงอีกครั้ง แต่ไปติดเซฟของ เซซ่าร์ อีกตามเคย


     ถัดมาไม่กี่นาที กองเชียร์ "ปีศาจแดง-ดำ" เกือบได้เฮ จากจังหวะยิงเข้าไปของ ฟลามินี่ แต่เจ้าตัวอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า ทำให้พลาดได้ประตูไปอย่างน่าเสียดาย


     นาทีที่ 89 มิลานมาได้จุดโทษจากจังหวะที่ คาสซาโน่ ถูก ซาเนตติ ดึงล้มลงในเขตโทษ และเป็น คาสซาโน่ ที่ลุกขึ้นมาสังหารเองไม่พลาดให้มิลานนำห่างอินเตอร์เป็น 3-0


     และในนาทีที่ 92 คาสซาโน่ ก็มาได้ใบแดงจากจังหวะที่ไปไล่เตะคอร์โดบา ซึ่งก่อนหน้านี้เพียง 2 นาทีเจ้าตัวพึ่งได้รับใบเหลืองไปจากการถอดเสื้อหลังยิงจุดโทษให้ทีมนำเป็น 3-0


     จบเกม เอซี มิลาน เป็นฝ่ายกำชัยเหนือ อริร่วมเมือง 3-0 พร้อมกับนำเป็นจ่าฝูงโดยทิ้งอันดับ 2 อย่าง อินเตอร์ มิลาน ออกไปเป็น 5 แต้ม ขณะที่เหลือการแข่งขันอีกเพียง 7 นัด มีโอกาสดีเยี่ยมในการซิวสคูเด็ตโต้หนแรกนับตั้งแต่ปี 2004




รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม



        เอซี มิลาน :
คริสเตียน อับเบียติ - อินยาซิโอ อบาเต้, อเลสซานโดร เนสต้า, ติอาโก้ ซิลวา, จานลูก้า ซามบร็อตต้า - เจนนาโร่ กัตตูโซ่, มาร์ค ฟาน บอมเมล, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ - เควิน-พรินซ์ บัวเต็ง - โรบินโญ่, อเล็กซานเดร ปาโต้

        สำรอง :
มาร์โก อเมเลีย, โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส, มาติเยอ ฟลามินี่, เออร์บี้ เอมานูเอลสัน, มาริโอ เยเปส, ลูก้า อันโตนินี่, อันโตนิโอ คาสซาโน่



        อินเตอร์ มิลาน :
ชูลิโอ เซซ่าร์ - ดั๊กลาส ไมค่อน, อันเดรีย ราน็อคเคีย, คริสเตียน คิวู, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ - ติอาโก้ ม็อตต้า, เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ - โกรัน ปานเดฟ, เวสลี่ย์ สไนเดอร์, ซามูเอล เอโต้ - จามเปาโล ปาซซินี่

        สำรอง :
ลูก้า คาสเตลลัซซี่, อีบัน คอร์โดบา, เดยัน สแตนโกวิช, ฮุสซีน คาร์ย่า, ดีเอโก้ มิลิโต้, มาร์โก มาเตรัซซี่, ยูโตะ นากาโตโมะ



        ผู้ตัดสิน :
นิโกล่า ริซโซลี่



สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลกัลโช่เซเรีย อา อิตาลี
- เบรสชา ชนะ โบโลญญ่า  3 - 1
- เอซี มิลาน  ชนะ อินเตอร์ มิลาน  3 - 0


 



ประมวลภาพหลังเกมการแข่งขัน 



อเล็กซานเดร ปาโต้ สะใจหลังหลุดเข้ไปยิงให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม


ซามูเอล เอโต้ เกมนี้เล่นได้ไม่ถนัดเมื่อเจอ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ ตามประกบ


อเล็กซานเดร ปาโต้  ถึงกับร่วงเมื่อเจอ ลูกหนักของ เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่






Hey \"Sport !\". :\

 คืนนี้ยังมีเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษอีก 2 คู่โดยคู่หัวค่ำ19.30 น. ฟูแล่ม พบ แบล็คพูล ต่อด้วย 22.00 น. แมนฯ ซิตี้ รอฟัด ซันเดอร์แลนด์


        ปรีวิวพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
        วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554
        แมนฯ ซิตี้ - ซันเดอร์แลนด์
        


     สนาม : ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม
 
        โร แบร์โต้ มันชินี่ กุนซือ "เรือใบสีฟ้า" จะมีตัวเลือกในแนวรับน้อยลง เพราะหมดสิทธิ์ใช้งาน ไมกาห์ ริชาร์ดส์ กับ เยโรม บัวเต็ง สองกองหลัง ที่บาดเจ็บเพิ่ม แต่ก็จะได้ ปาโบล ซาบาเลต้า กลับมาช่วยแนวรับในเกมนี้
 
        ริ ชาร์ดส์ เจ็บเอ็นหลังหัวเข่ามาจากเกมทีมชาติอังกฤษ ชุดยู-21 ในเกมที่บุกถล่ม เดนมาร์ก 4-0 เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ต้องพลาดลงเล่นเกมนี้ ขณะที่ บัวเต็ง ส่อแววพัก 6 สัปดาห์ เพราะเตรียมผ่าตัดเข่าในอีกไม่กี่ วันข้างหน้า
 
        อย่างไรก็ ตาม ซาบาเลต้า เดินทางกลับจากอาร์เจนตินา เพื่อช่วยทีมแล้ว หลังได้รับอนุญาตให้กลับไปเฝ้าพ่อที่ โรงพยาบาล และให้เวลานักเตะอย่างเต็มที่ว่าจะพร้อมกลับมาช่วยทีมเมื่อไหร่
 
        แดน หน้า คาร์ลอส เตเวซ กัปตันทีมที่ไม่มีชื่อในเกมแพ้ เชลซี 0-2 ในช่วงก่อนเกมเพราะอาการบาดเจ็บ แต่ก็จะ กลับมาล่าตาข่ายในเกมนี้ไม่มีปัญหา
 
        ระบบ การเล่น 4-3-3 โจ ฮาร์ท เฝ้าเสา แผงหลังใช้ ปาโบล ซาบาเลต้า, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, โจลีออน เลสค็อตต์, อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ แดนกลางมี ยาย่า ตูเร่, ไนเจล เดอ ยองก์, แกเร็ธ แบร์รี่ แดนหน้ามี อดัม จอห์นสัน กับ ดาบิด ซิลบา คอยป้อนบอลให้ คาร์ลอส เตเวซ
 
        ด้าน สตีฟ บรูซ กุนซือ "แมวดำ" ได้รับข่าวดี เพราะจะได้ ไมเคิ่ล เทอร์เนอร์ เซนเตอร์ฮาล์ฟคนสำคัญ กับ เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ กองหน้าความเร็วสูง หายเจ็บยาวกลับสู่ทีมแล้ว
 
        แคมป์ เบลล์ อดีตศูนย์หน้าดาวรุ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด เจ็บเข่าอย่างหนักตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว ขณะที่  เทอร์เนอร์ ซึ่งเป็นกำลังหลักอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นฤดูกาลก็มาเจ็บเข่าเหมือนกัน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว
 
        ฟิล บาร์ดสลี่ย์ (เข่า) กับ ซุลลีย์ มุนตารี่ (น่อง) ที่บาดเจ็บมาจากสัปดาห์ทีมชาติ คาดว่าจะฟิตสมบูรณ์ทันเกมนี้ ขณะที่ จอห์น เมนซาห์ กองหลังกานา ที่โดนไล่ออกในนัดที่แล้วที่แพ้ ลิเวอร์พูล 0-2 ก็ได้รับการลบล้างใบแดงเรียบ ร้อย
 
        คีแรน ริชาร์ดสัน เจ็บเอ็นหลังหัวเข่า ต้องรอทดสอบความฟิต แต่ที่ขาดหายแน่ๆ คือ เนดุม โอนูโอฮา แบ็กขวาที่หายเจ็บน่องกลับมาแล้ว แต่จะหมดสิทธิ์เจอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้นสังกัดที่แท้จริง เพราะติดสัญญายืมตัว
 
        ระบบการ เล่น 4-4-2 ซิมง มินโญเล่ต์ เฝ้าเสา แผงหลังใช้ แอนทอน เฟอร์ดินานด์, ไมเคิ่ล เทอร์เนอร์, ไตตัส บรัมเบิ้ล, ฟิล บาร์ดสลี่ย์ แดนกลางมี สเตฟาน เซสเซญง, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ลี แคตเทอร์โมล, ซุลลีย์ มุนตารี่ คู่หน้าใช้ อซาโมอาห์ กียาน ยืนคู่ แดนนี่ เวลเบ็ค

        รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
        แมนฯ ซิตี้ : โจ ฮาร์ท - ปาโบล ซาบาเลต้า, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, โจลีออน เลสค็อตต์, อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ -  ยาย่า ตูเร่, ไนเจล เดอ ยองก์, แกเร็ธ แบร์รี่ - อดัม จอห์นสัน, ดาบิด ซิลบา, คาร์ลอส เตเวซ
 
        ซันเดอร์แลนด์ : ซิมง มินโญเล่ต์ - แอนทอน เฟอร์ดินานด์, ไมเคิ่ล เทอร์เนอร์, ไตตัส บรัมเบิ้ล, ฟิล บาร์ดสลี่ย์ -  สเตฟาน เซสเซญง, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ลี แคตเทอร์โมล, ซุลลีย์ มุนตารี่ - อซาโมอาห์ กียาน, แดนนี่ เวลเบ็ค
 
        ผู้ตัดสิน : ฮาวเวิร์ด เว็บบ์

สิงห์ไล่เจ๊าสโต๊ค1-1,ไก่จิกวีแกนไม่เข้า0-0

"สิงห์บลู" เชลซี สุดฝืดยกพลบุกเสมอ "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค 1-1 เก็บได้เพียงแต้มเดียว โดยยังอยู่อันดับ3 ตามหลังจ่าฝูง แมนฯยูฯ 11 แต้ม แต่แข่งน้อยกว่า1นัด ขณะที่ "ไก่เดือยทอง" สเปอร์ส ทำอะไร วีแกน ไม่ได้เสมอแบบไร้สกอร์ 0-0 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันเสาร์ ที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา





ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สโต๊ค ซิตี้ 1 - 1 เชลซี


สนาม : บริทานเนีย สเตเดี้ยม 


         เกม ระหว่าง "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี้ ที่มีลุ้นจบ 10 อันดับแรก กับ เชลซี ที่มีลุ้นแชมป์อยู่ห่าง โดยทีมเยือนต้องชนะเท่านั้น เพื่อทำแต้มไล่จี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ได้อย่างต่อเนื่อง 


         เกมนี้เจ้าบ้าน ยังไม่มี ยอห์น คาริว และ โธมัส โซเรนเซ่น ที่ยังมีอาการบาดเจ็บรบกวน โดยส่ง อัสเมียร์ เบโกวิช ลงเฝ้าเสาต่อเนื่อง ส่วนกองหน้าใช้ โจนาธาน วอลเตอร์ จับคู่กับ เคนวีน โจนส์


         ด้านทีมเยือน คาร์โล อันเชล็อตติ จับ เฟร์นานโด ตอร์เรส เป็นตัวสำรองแล้วใช้ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ลงไป็นกองหน้าคู่กับ นิโกล่าส์ อเนลก้า พร้อมทั้งส่ง โชเซ่ โบซิงวา กลับมาลงเป็นแบ็กขวาตัวจริง


         เริ่มเกมแค่นาทีที่ 8 เจ้าบ้านขึ้นนำไปอย่างรวดเร็วเมื่อ โจนาธาน วอลเตอร์ พาบอลหนี ดาวิด ลุยซ์ ตรงกลางสนามทางด้านซ้าย ก่อนจะควบบอลหลุดเดี่ยวเข้าไป ล็อกหลบ ไมเคิ่ล เอสเซียง ก่อนจะยิงผ่านตัว ปีเตอร์ เช็ก เข้าไปให้ สโต๊ค ขึ้นนำ 1-0


         นาที ถัดมาหลังจากโดนนำ เชลซี ก็ตอบโต้ทันทีและได้ลุ้นจากการโหม่งโล่งๆของ แอชลี่ย โคล แต่ก็ยังโดน อัสเมียร์ เบโกวิช พุ่งปัดออกหลังไปได้เหลือเชื่อ


         นาที ที่ 21 เชลซี ได้โอกาสตีเสมออีกครั้งจากจังหวะ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ลองซัดไกลนอกกรอบเขตโทษ บอลตรง อัสเมียร์ เบโกวิช แต่รับหลุดมือไปเข้าทาง นิโกล่าส์ อเนลก้า แต่กองหน้าเฟร้นช์ ไม่พร้อมเลยโดนกองหลังเข้ามาสกัดได้ทัน


         นาทีที่ 15 เชลซี ได้โอกาสลุ้นอีกครั้ง เมื่อ ฟลอร็องต์ มาลูด้า ได้ซัดในกรอบเขตโทษ แต่ยังโดน ไรอัน ชอว์ครอสส์ พุ่งเข้ามาบล็อกไว้ได้ทัน


         ทีม เยือน เชลซี ยังพยายามบุกเพื่อตีเสนออย่างต่อเนื่อง และก็มาทำสำเร็จในนาที่ 33 จากจังหวะที่ นิโกล่าส์ อเนลก้า ได้บอลทางซ้ายก่อนจะโยนเข้ามาหน้าประตูใน ดิดิเย่ร์ ดร็อบา พุ่งเข้าไปล้มตัวโหม่งเข้าไปให้ เชลซี ตีเสมอเป็น 1-1 


         ช่วง ท้ายครึ่งแรกยังคงเป็น เชลซี ที่เดินหน้าหาประตูขั้นนำอย่างต่อเนื่อง แต่แนวรับของ สโต๊ค ก็ยังเหนียวแน่นยันเอาไว้ได้หมด


         เริ่ม ครึ่งหลังมาได้ไม่ถึงนาที เชลซี เดินเกมรุกทันทีและได้ลุ้นก่อนจากการยิงของ นิโกล่าส์ อเนลก้า แต่บอลไม่ตรงกรอบออกหลังไป


         เจ้า บ้านก็ไม่ปล่อยให้โดนบุกแต่ฝ่ายเดียว นาทีถัดมาคราวนี้เป็น เจอร์เมน เพนแนนท์ ได้ยิงในกรอบเขตโทษจากการจ่ายบอลของกลางจากทางฝั่งซ้ายของ แม็ทธิว เอเธอริงตัน แต่ ปีเตอร์ เช็ก ล้มตัว ใช้เท้าสกัดออกไปได้


         นาที ที่ 49 คราวนี้เป็น เชลซี ที่น่าจะได้ประตูนำอย่างที่สุดเมื่อ รามิเรส จ่ายบอลให้ ดร็อกบา ทางขวาของเขตโทษก่อนจะยิงเร็วทันทีบอลผ่านมือ เบโกวิช ไปแล้วแต่ชนเสาเหลี่ยมนอกออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย


         เกม ผ่านถึงนาทีที่ 60 เชลซี ส่ง เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่ยังยิงประตูไม่ได้เลยนับตั้งแต่ย้ายมาจาก ลิเวอร์พูล ลงมาเล่นแทน นิโกล่าส์ อเนลก้า และยังส่ง ซาโลมง กาลู ลงเล่นแทน รามิเรส


         และ ตอร์เรส ก็มีโอกาสทันทีเมื่อได้กึ่งยิงกึ่งผ่านมาหน้าประตูแต่บอลไปติดกองหลังกลับมาเข้ามือ อัสเมียร์ เบโกวิช ซะอีก


         นาที ที่ 66 เจ้าบ้านน่าได้ประตูนำเช่นกัน เมื่อได้ลูกฟรีคิก เกล็น วีแลน เขี่ยให้ มาร์ค วิลสัน ซัดเต็มข้อบุกฟุ่งแรงชนคานอย่างจังก่อนจะโดนกองหลัง เชลซี เคลียร์ทิ้งออกหลัง ได้แค่ลูกเตะมุม


         และจากลูก เตะมุมในจังหวะนี้ รอรี่ ดีแล็ป โยนบอลเข้ามากลางให้ โรเบิร์ต ฮูธ โหม่งเต็มๆแต่ ปีเตอร์ เช็ก ซุปเปอร์เซฟ ปัดชนคานออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อทำให้ทั้ง เชลซั ยังไม่ตกเป็นรองเจ้าบ้าน


         อีก 4 นาทีถัดมายังเป็นเจ้าบ้านที่ได้โอกาสลุ้นประตูนำเมื่อ เคนวีน โจนส์ พาบอลพลิกหลบ จอห์น เทอร์รี่ และ ดาวิด ลุยซ์ เข้ากรอบเขตโทษ แต่จังหวะยังไม่ดีบอลพุ่งเฉียดเสาออกไป


         ก่อนหมดเวลา 10 นาที เป็น ดร็อกบา ที่ได้กลับตัวยิง แต่บอลพุ่งไปชนคานเต็มแรง ก่อนจังหวะต่อมาจะเป็น ไมเคิ่ล เอสเซียง ที่ได้ซัดเต็มข้อจากนอกเขตโทษ แต่ อัสเมียร์ เบโกวิช ก็พุ่งเซฟเอาไว้ได้เช่นกัน


         ท้ายเกม ทั้งสองทีมยังผลัดกันรุกและรับอย่างสนุกแต่จังหวะสุดท้ายยังไม่คมด้วยกัน ทั้งคู่ ส่วนใหญ่จะยิงออกหลังกันไปเอง จบเกม สโต๊ค ซิตี้ เสมอกับ เชลซี ไป 1-1

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม


     สโต๊ค :
อัสเมียร์ เบโกวิช, มาร์ค วิลสัน, ไรอัน ชอว์ครอสส์, โรเบิร์ต ฮูธ, แดนนี่ ฮิกกิ้นบ็อตธอม, เจอร์เมน เพนแนนท์, รอรี่ ดีแล็ป, เกล็น วีแลน, แม็ทธิว เอเธอริงตัน, เคนวีน โจนส์, โจนาธาน วอลเตอร์ส

     สำรอง :
คาร์โล แนช, แดนนี่ คอลลินส์, ริคาร์โด้ ฟูลเลอร์, แดนนี่ พิวจ์, ซาลิฟ ดิเยา, ดีน ไวท์เฮด, แอนดี้ วิลกินสัน


     เชลซี :
ปีเตอร์ เช็ก, โชเซ่ โบซิงวา, ดาวิด ลุยซ์, จอห์น เทอร์รี่, แอชลี่ย์ โคล, รามิเรส, ไมเคิ่ล เอสเซียง, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, ฟลอร็องต์ มาลูด้า, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, นิโกล่าส์ อเนลก้า

     สำรอง :
รอสส์ เทิร์นบูลล์, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, เฟร์นานโด ตอร์เรส, จอห์น โอบี มิเกล, ยูริ ชีร์คอฟ, เปาโล แฟร์เรยร่า,ซาโลมง กาลู


     ผู้ตัดสิน
:
ปีเตอร์ วอลตัน



ประมวลภาพหลังเกมการแข่งขัน




ดร็อกบา กระตัวลอยหลังซัดประตูตีเสมอให้ "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เป็น 1 - 1



ดาวิด ลุยซ์ คงโชว์ฟอร์มดีต่อเนื่องจนกลายเป็นตัวหลักเซลซี



เมื่อไรกันที่จะซัลโวประตูแรกภายใต้สังกัดใหม่กันนะสิงห์ตอร์











วีแกน 0-0 สเปอร์ส


 
สนาม : ดีดับเบิลยู สเตเดี้ยม


         เกม คู่สำคัญอีกคู่ "ไก่เดือยทอง" บุกเยือน ดีดับเบิลยู สเตเดี้ยม โดยยังลุ้นพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้ส่ง ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท, เจอร์เมน เดโฟ และโรมัน พาฟลิวเชนโก้ ประสานเกมรุกเต็มอัตราศึก ส่วนเจ้าถิ่นมี อูโก้ โรดาเยก้า ยืนค้ำ


         เริ่มเกมมาเป็น วีแกน ทักทายก่อนเลยเมื่อ ชาร์ลส์ เอ็นซ็อกเบีย ปีกตัวเก่งกระชากเลี้ยงตัดจากซ้ายเข้าในแล้วล็อกเข้าซ้ายข้างถนัดอีกครั้ง ก่อนส่องไกลระยะ 25 หลาหลุดเสาสองแบบได้ลุ้น


         สเปอร์ส เริ่มตั้งเกมได้ นาที 23 พวกเขามีโอกาสลุ้นเมื่อเล่นเกมสวนกลับเร็วสุดท้ายเป็น เจอร์เมน จีนาส ตะบันด้วยขวาจากหน้าเขตโทษเร็ว อาลี อัล ฮับซี่ รับหลุดมือแต่ยังตามไปคว้าไว้ได้หวุดหวิด


         ทีมเยือนมี โอกาสอีกครั้งเมื่อครบครึ่งชั่วโมงของเกมจากจังหวะที่ เบอนัวต์ อัสซู เอก็อตโต้ โยนบอลโค้งเข้าไปหน้าประตู โรมัน พาฟลิวเชนโก้ พยายามโถมเข้าโขกจ่อๆ  แต่กดไม่ตรงกรอบ


         ทีมเยือนมา อีกระลอกก่อนจบครึ่งแรก 6 นาที เป็น ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ลองส่องไกลระยะกว่า 20 หลาหน้าเขตโทษ แต่ อาลี อัล ฮับซี่ ยืนตำแหน่งดีรับไว้ได้ หมดครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0


         กลับ มาเล่นต่อครึ่งหลังนาทีเดียวเกือบเป็น วีแกน ที่ออกนำก่อนเมื่อ ชาร์ลส์ เอ็นซ็อกเบีย พลิ้วเข้าเขตโทษก่อนหลุดเข้าไปซัดด้วยซ้ายแต่บอลเข้ามือ เอเรลโญ่ โกเมส ที่ยืนดักทางถูกเซฟเอาไว้ได้ทัน


         เป็น เจ้าถิ่นที่บุกเข้าใส่เป็นระลอกในครึ่งหลัง นาที 57 พวกเขามีโอกาสอีกเที่ยวหนนี้เป็น ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ลากเข้ามายิงในเขตโทษอีกครั้งแต่ เอเรลโญ่ โกเมส บินโชว์ซูเปอร์เซฟปัดออกหลังไปได้ทัน


         สเปอร์ส มีโอกาสบ้างนาที 73 เมื่อ ลูก้า โมดริช รับบอลยาวจากเพื่อนร่วมทีมในจังหวะสวนกลับเร็วก่อนกระชากมายิงไกลหน้าเขตโทษ 30 หลา แต่บอลติดบล็อกกองหลังเจ้าถิ่นเฉี่ยวเสาออกหลัง


         ท้าย เกมเป็นทีมเยือนที่เดินหน้าบุกหนัก นาที 89 เวดราน ชอร์ลูก้า  โยนบอลเข้าเขตโทษปีเตอร์ เคร้าช์ โถมเข้าโหม่งแต่บอลเบา และตรงเข้ามือ อับ ฮับซี่ จบเกมเสมอกัน 0-0 สเปอร์ส ยังอยู่อันดับ 5 เหมือนเดิม


รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม


     วีแกน  :
อาลี อัล ฮับซี่ , เอ็มเมอร์สัน บอยซ์, อันโตลิน อัลการาซ, แกรี่ คัลด์เวลล์, เมย์เนอร์ ฟิเกรัว , เจมส์ แม็คคาร์ธี่, เบน วัตสัน, ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ , ชาร์ลส์ เอ็นซ็อกเบีย, วิคเตอร์ โมเซส, อูโก้ โรดาเยก้า

     
สำรอง :
ไมเคิ่ล พอลลิตต์ (ผู้รักษาประตู), สตีฟ กูโอรี่, ฟรังโก้ ดิ ซานโต้, ฆอร์ดี้ โกเมซ, คอเนอร์ แซมมอน, โมฮาเหม็ด ดิยาเม่, รอนนี่ สตัม


     สเปอร์ส  :
เอเรลโญ่ โกเมส , เวดราน ชอร์ลูก้า, เซบาสเตียง บาสซง, ไมเคิ่ล ดอว์สัน, เบอนัวต์ อัสซู เอก็อตโต้ , ซานโดร, ลูก้า โมดริช , เจอร์เมน จีนาส, ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท, เจอร์เมน เดโฟ, โรมัน พาฟลิวเชนโก้

     
สำรอง :
คาร์โล คูดิชินี่ (ผู้รักษาประตู), ทอม ฮัดเดิลสตัน,  อารอน เลนน่อน, สตีเว่น พีน่าร์ , ปีเตอร์ เคร้าช์, นิโก้ ครานชาร์, แดนนี่ โรส


     ผู้ตัดสิน :
อังเดร มาร์ริเนอร์


สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

     

- เวสต์แฮม แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด  2 - 4
- เบอร์มิงแฮม ชนะ โบลตัน  2 - 1
- เอฟเวอร์ตัน เสมอ แอสตัน วิลล่า  2 - 2
- นิวคาสเซิ่ล ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน  4 - 1
- สโต๊ค ซิตี้ เสมอ เชลซี   1 - 1
- เวสต์บรอมวิช ชนะ ลิเวอร์พูล  2 - 1
- วีแกน เสมอ สเปอร์ส  0 - 0
- อาร์เซน่อล เสมอ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส  0 - 0

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์