พ่อแม่แบบไหน ‘วัยรุ่นไม่เซ็ง’ o(‧\'\'\'‧)o

พ่อแม่แบบไหน ‘วัยรุ่นไม่เซ็ง’ o(‧\


พฤติกรรมของเด็กที่เพิ่งพ้นชั้นประถมมาหมาดๆ โดยเฉพาะเด็กม.1 อาจทำให้พ่อแม่กุมขมับ เมื่อฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง มุมมองที่เปลี่ยนไป กับสังคมที่กดดัน และร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของพวกเขาที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยแรกรุ่นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้พ่อแม่และเข้าใจกันและกันเหมือนที่ผ่านมา
       
       เพียงชั่วข้ามคืนของเด็ก ป.5-ป.6 ที่เตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมเด็กมัธยมและก้าวสู่ ‘วัยรุ่น’ วัยที่ถือคติ ‘พ่อแม่ไม่เคยเข้าใจเลย’ ...'ทำแบบนี้ วัยรุ่นเซ็ง' อาจทำให้พ่อแม่หลายคนตั้งรับไม่ทัน และมีปัญหาตามมาในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ที่พูดกันน้อยลง ไกลกันมากขึ้น และเริ่มห่างเหินกันในที่สุด
       
       ทั้งนี้การที่เด็กวัย12-13 ขวบเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง มีโลกส่วนตัว และเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใด เพราะมันเป็นธรรมชาติและเป็นที่มาของทุกคนในการเปลี่ยนตัวเองเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวต่อไป
       
       แต่ทว่าในช่วงระยะเวลาที่ลูกกำลังเข้าสู่วัยรุ่นนั้น ควรมีวิธีตั้งรับอย่างไรบ้าง นั่นคือโจทย์ของคนเป็นพ่อแม่ที่ต้องตอบและแก้ปัญหานั้นไปให้ได้
       
       ทั้งนี้นักเขียนหนังสือเดอะ จูวิช ปริ๊นเซส ไกด์ ทู แฟบบิวลัสซิตี้ (The Jewish Princess Guide to Fabulosity) อย่างเทรซี่ ไฟน์ และจอร์จี้ ทาร์น ได้เสนอกลวิธีเพิ่มรักและเข้าใจของพ่อแม่ให้ถูกใจลูกวัยรุ่น 10 ข้อปฏิบัติดังนี้

พ่อแม่แบบไหน ‘วัยรุ่นไม่เซ็ง’ o(‧\

1. ไม่ตกหลุมพรางวัยรุ่น
       
       พ่อแม่หลายคนตกหลุมพรางวัยรุ่นมานับไม่ถ้วน โดยหลุมพรางที่ว่านี้คือ ความหงุดหงิดของพ่อแม่เมื่อเห็นลูกทำตัวขัดใจ ทั้งๆที่ทราบดีว่าสิ่งที่เขาเป็นนั้นเพราะเป็นนิสัยเด็กวัยรุ่นก็ตาม
       
       อาการขี้หงุดหงิด ฉุนเฉียวของพ่อแม่ จะทำให้พ่อแม่กลายเป็นผู้แพ้ในที่สุด เพราะขณะที่ลูกแปรปรวน พ่อแม่ไม่เข้าใจ มันจะทำให้บ้านที่เคยอยู่กลายเป็น ‘สมรภูมิใต้หลังคา’ ไปในทันที
       
       ลูกอาจสร้างโลกส่วนตัว ไม่ว่าจะอยู่ในห้องหรือสังคมอินทอร์เน็ต โดยเฉพาะการแชท เฟสบุ๊ค เขียนบล็อก หรือมายสเปซก็ตาม ที่เป็นพื้นที่ให้เขาได้ระบายอารมณ์และปลดปล่อยด้วยภาษาที่พ่อแม่อาจจะไม่เข้าใจ โดยวัยรุ่นนิยมเรียกกันว่า MSN (ในที่นี้หมายถึง Mum Says No)
       
       ดังนั้น สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ ใกล้ชิดและเข้าใจว่ามันเป็นช่วงวัยของเขา ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาที่ลูกๆวัยนี้มักมีความลับกับพ่อแม่ ไม่ค่อยอยากบอกอะไร ยกเว้นต้องการคำปรึกษาและขอเงิน
       
       ยิ่งไปกว่านั้นควรพยายามหาอะไรบางอย่างที่จะสามารถเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกได้เช่น เช่น ช้อปปิ้ง หรือมีช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเพื่อเปิดใจคุยกันตามประสาพ่อ-แม่-ลูก ซึ่งอาจจะดูยุ่งยากแต่มันก็ได้อะไรดีๆและคุ้มค่าทีเดียว
       
       2.แฟชั่น ‘ขัดใจพ่อแม่’...อิสระ และ เข้าใจ
       
       นอกจากปัญหาโลกส่วนตัวสูงในวัยรุ่นจะทำให้พ่อแม่กังวลแล้ว แฟชั่นการแต่งตัวสไตล์ขัดใจพ่อแม่นั้น ก็เป็นปัญหาที่ตามมาติดๆไม่แพ้กัน
       
       อย่างไรก็ดี ก่อนที่พ่อแม่จะลงความเห็นว่า ลูกกำลังแต่งตัว ‘สไตล์ขัดใจพ่อแม่’ นั้น พ่อแม่ควรนั่งและระลึกถึงวันวานสมัยที่เป็นวัยรุ่นบบ้างว่าสมัยนั้นแฟชั่นเป็นแบบนั้น ตามกระแสหรือไม่ และในปัจจุบันมุมมองและสไตล์การแต่งตัวเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนกัน
       
       หากแฟชั่นและสไตล์การแต่งตัวของลูกจะดูขัดลูกหูลูกตาพ่อแม่ไปบ้าง แม้ว่าทั้งพ่อและแม่จะพยายามอธิบายให้ลูกฟังมากน้อยแค่ไหน ว่าทำไมถึงไม่ชอบให้ลูกแต่งตัวแบบนั้น
       
       สิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ควรทำได้คือ พ่อแม่ต้องเข้าใจเขาว่านั่นคือ ‘วัยรุ่น’ ให้อิสระและเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พ่อแม่พูดนั้น มันไม่สูญเปล่า เพราะสิ่งที่พูดออกไปนั้น ดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจ แต่แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันจะซึมซับเขาไปเรื่อยและลูกจะคิดได้ในสักวัน แต่ทว่าสิ่งที่พ่อแม่พร่ำบอกนั้น อย่าแสดงจนให้ลูกรู้สึกว่า พ่อแม่ขี้บ่น จู้จี้ จนเขาอึดอัด
       
       3. เชื่อมั่นในตัวลูก
       

       ถ้าพ่อแม่เชื่อมั่นในตัวลูก ความเชื่อมั่นจะทำให้ลูกไว้ใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพ่อแม่ต้องอยู่ให้เขามีอิสระในขอบเขต ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย
       
       4. พูดด้วยความสัตย์จริง
       
       ลูกอาจจะไม่ฟังพ่อแม่ หรือฟังน้อยกว่าเมื่อก่อนเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเองและยึดความคิดตัวเองเป็นหลัก แต่อย่างน้อย การที่พ่อแม่ไม่โกหก และพูดกับลูกอย่างเปิดใจ มันจะทำให้พ่อแม่รู้สึกดีขึ้นและถ้าเขาเปิดใจกับพ่อแม่ นั่นหมายถึงว่าพ่อแม่มีโอกาสที่จะใกล้ชิดเขามากขึ้น
       
       5. กอด
       

       ไม่มีใครแก่เกินไปที่จะกอดกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือวัยไหนๆ การที่พ่อแม่และลูกได้กอดกันบ้าง ความเป็นเด็กที่หล่นหายไปจะกลับมาอีกครั้ง และความรัก ความเข้าใจจะทำให้สัมพันธ์ของพ่อแม่และลูกดีขึ้น แม้ลูกจะมีความเป็นวัยรุ่นมากน้อยแค่ไหนก็ตาม


6.ให้เกียรติลูกในการตัดสินใจ
       
       พ่อแม่ไม่ควรจะไปตัดสินว่า คนไหนที่ลูกควรคบหรือไม่ควรคบ สิ่งเหล่านี้ควรปล่อยให้เขาเป็นคนตัดสินใจเอง แม้ว่าคบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตหาไปหาผลก็ตาม
       
       พ่อแม่ควรยืนดูอยู่ห่างๆ อย่าไปแสดงออกว่าไม่ชอบเพื่อนของลูก เพราะหากทำอย่างนั้น ลูกที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นก็ไม่ได้ฟังหรือสนใจการกระทำแบบนั้นของพ่อและแม่สักเท่าไหร่ หนำซ้ำเขาอาจจะแสดงปฏิกิริยาต่อต้านพ่อแม่ด้วย
       
       ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือแฟน พ่อและแม่ควรเตือนลูกเป็นระยะๆ และพูดคุยกับเขา ให้เขาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง เพราะในขณะที่เราให้เกียรติลูกในการคบเพื่อน แต่จำไว้ว่าช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงมีความเสี่ยงสูง พ่อแม่จึงควรให้เวลากับลูกมากเป็นพิเศษ
       
       7. เอาหูไปนา เอาตาไปไร่บ้าง..จะเป็นไร
       

       พ่อแม่ที่จู้จี้ขี้บ่นนั้นมักจะไม่ได้อะไรจากลูกเลย ยิ่งใกล้ลูกมากเท่าไหร่ ลูกจะยิ่งเดินห่างไปมากเท่านั้น ดังนั้นหากเขาต้องการอยู่ในโลกส่วนตัวก็ควรให้เวลาเขา และถ้าลูกต้องการทำอะไรที่ไม่เดือดร้อน แต่ขัดใจพ่อแม่อยู่บ้าง ก็ลองเปิดใจและทำเป็นไม่เห็น ก็จะเป็นไรไป เพราะในที่สุด ลูกก็ยังคงอยู่ในสายตาของพ่อแม่อยู่เสมอ
       
       8. ปล่อยวาง
       
       เสียงทะเลาะที่แข่งกันดังลั่นบ้านเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เมื่อพ่อแม่ยังคงต้องการให้ลูกเป็นอย่างที่เขาต้องการ ขณะที่ลูกก็มีความเชื่อมั่นและยึดตัวเองเป็นหลักจนปัญหามันทวีคูณ มันไม่ใช่ทางออกของพ่อแม่ที่จะสยบลูกวัยรุ่นได้เลย
       
       ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถพูดให้ลูกทำตามอย่างที่ต้องการ หรือบางคนคิดว่าไม่สามารถชนะลูกได้นั้น แม้มันจะเป็นสิ่งที่ดีแค่ไหน พ่อแม่ควรเดินออกไป ตั้งสติและใจเย็นๆ ...จำไว้ว่า มันคือมุมมองที่ต่างกันเท่านั้น เดี๋ยวก็ดี และเราจะเข้าใจกันเอง
       
       9.อย่าฉีกหน้าลูก
       
       สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรตระหนักคือ เวลาจะคุยกับลูก ลองนึกดูสิว่า ตอนที่พ่อและแม่เป็นวัยรุ่นนั้น เป็นยังไง เหมือนที่ลูกเป็นหรือเปล่า
       
       เมื่อเข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่นแล้ว พ่อแม่ย่อมรู้ดีว่า ลูกยิ่งโตมากเท่าไหร่ ยิ่งไม่อยากให้พ่อแม่ว่าเขาต่อหน้าเพื่อนๆ เพราะมันหมายถึงการฉีกหน้าลูก ที่จะทำให้เขาหงุดหงิด ไม่พอใจและอับอายมาก
       
       หากมีอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร พ่อแม่ก็ควรให้เกียรติลูก โดยการตักเตือนเป็นการส่วนตัว และเมื่อพ่อแม่ให้เกียรติเขา ลูกก็จะให้เกียรติและเคารพพ่อแม่เช่นกัน
       

       10. เดินไปด้วยกัน
       
       ความสัมพันธ์ในช่วงวัยรุ่นนั้น ลูกๆอาจจะมีเพื่อนมากหน้าหลายตา หรืออาจจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากผมสั้นเรียบร้อย กลายเป็นเด็กรากไทร ทรงผมขัดใจแม่ ใส่กางเกงหลุดๆ สไตล์ขัดใจพ่อ หรือนุ่งสั้น แต่งหน้าแนวเจป๊อป (ญี่ปุ่น)หรือเคป๊อป (เกาหลี)
       
       ในที่สุดแล้ว พ่อและแม่ก็ควรอยู่กับเขา ให้เขารู้สึกว่าไม่ว่าจะอย่างไร พ่อและแม่ก็อยู่ข้างๆพร้อมที่จะช่วยเหลือเสมอ และบ้านก็ยังเป็นสถานที่ที่อบอุ่นสำหรับลูกตลอดไป
       

       เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจาก เดอะ ซัน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์