วันนี้ คุณนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้กับชีวิตประจำวันแล้วยัง !

.................สิ่งที่ผมจะเขียนในกระทู้นี้ จะเป็นการยกตัวอย่าง การนำเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในชีวิตประจำวันจากประสบการณ์จริง แต่มันอาจยาวไปหน่อย คุณไม่ต้องอ่านทีเดียวจบ .........ผมจะแบ่งเนื้อหาเป็นตอนๆ คุณอ่านวันละตอนก็ได้ครับ .....แต่รับรองว่า พออ่านจบ ก็จะได้เข้าใจและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงแน่นอน ............

.................พูดถึง คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" .ก็ยังมีคนไทยอีกไม่น้อย ที่ยังไม่เข้าใจ หรือ เข้าใจ เศรษฐกิจพอเพียง ผิดไปจากความจริง .........

.........ความเข้าใจที่ผิดๆ อย่างเช่น เข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึง ต้องรัดเข็มขัดสุดๆ ไม่ลงทุน ไม่ใช้เทคโนโลยี หรือกระทั่งเข้าใจว่า เป็นเรื่องของเกษตรกรเท่านั้น (ถ้า"โง่"หน่อยก็เข้าใจผิดถึงขนาดคิดว่าต้องไปอยู่กระต๊อบโน่น)

........ความจริง เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เรื่องของเกษตรกรอย่างเดียว แต่มันนำไปใช้ได้กับทุกอาชีพ ไม่ได้ห้ามใช้ของแพง แต่ใช้แล้วต้องได้ประโยชน์คุ้มค่า และไม่เกินกำลังซื้อ ..........ไม่ได้ห้ามใช้เทคโนโลยีทันสมัย ..แต่ใช้แล้วต้องเกิดประโยชน์คุ้มค่ากับ เงินที่ลงทุนไป ที่สำคัญ มันไม่ใช่ทฤษฎีทางเศรษฐกิจ แต่มันคือปรัชญา ที่ครอบคลุมไปถึงวิถีการดำเนินชีวิตของเราอีกด้วย ..................อย่างจะยกตัวอย่างให้ดูว่า หลักคิดแบบ เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาใช้กับ ชีวิตประจำวันอย่างไร

********************************

.....ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัย กับ การใช้ โทรศัพท์มือถือ

.........................เพื่อนที่มหาลัย แซวผมว่า เป็นนักเล่นหุ้น แต่ใช้โทรฯมือถือเครื่องไม่ถึงหมื่น .........
..................เอาน่ะ ปกติ โทรฯมือถือที่ผมใช้ มันก็แค่ โทรเข้า - ออก เล่น MP3 ถ่ายรูปได้ ตั้งปลุกตั้งปฏิทินนัดหมายได้ แค่นี้สำหรับผมก็ O.K. แล้วน่ะ ........เพราะชีวิตประจำวัน ผมก็ใช้อยู่แค่นั้นจริงๆ .............อีกอย่างน่ะ ผมซื้อแล้วใช้คุ้ม ใช้ได้หลายปี ในขณะที่ วัยรุ่น น.ศ. หรือ แม้แต่คนทำงานก็เถอะ มีไม่น้อยที่ต้องหมดเงินไปกับการ คอยเทิร์นเครื่องให้เป็นรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลา ได้เครื่องใหม่มา ใช้ไม่ทันไร พอมีอีกรุ่นออกมา ก็เสียเงินเปลี่ยนอีกทีละหลายพัน โดยที่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอะไรนัก .
..............ไม่เว้น กระทั่งธุรกิจ ที่ล่อให้ ผู้บริโภค โหลดเพลง โหลดรูป หรือ โหลดข้อมูลต่างๆ เสียเงินกัน นาทีละ 9 บาท - 15 บาท ......ไปกระทั่ง ล่อให้ผู้บริโภคโหวตเชียร์นักร้องทางโทรฯมือถือ .......เสียเงินค่าโทรศัพท์ ไปแบบไม่ได้ประโยชน์อะไรตอบแทนกลับมาเป็นเรื่องเป็นราว .......แต่ผู้ที่รวยขึ้น ก็คือ ....พวกธุรกิจ ผู้ให้บริการพวกนี้ ....................... พวกบริษัทพวกนี้ ก็ช่างรู้ซึ้งถึงความกิเลสหนา(ปัญญาน้อย) ของผู้บริโภค ก็ ใช้แผนการตลาดต่างๆ ล่อให้ผู้บริโภคผลาญเงินไปกับเรื่องไร้สาระมากขึ้น ............. ผู้บริโภคเหล่านี้ ก็ เอาเงินไปเสียให้กับ สิ่งไร้สาระพวกนี้ นี่ยังไม่อยากพูดถึง ที่อุตส่าห์ลงทุนติดจานดาวเทียม เพียงเพื่อจะดู นักร้องวัยรุ่นมันกิน ซ้อมร้องเพลง ประกวดร้องเพลงแล้วก็นอนหลับ ให้ดู ผ่านหน้าจอ .............

............แน่นอนว่า ผมคนหนึ่งหล่ะ ที่ไม่เคยหลงไปตามกระแสแฟชั่นการบริโภคนิยมที่ขาดสติเช่นนี้ ....ไม่ตกเป็นเหยื่อของทุนนิยมที่กระตุ้นกิเลส(ความหลง)ให้อยากจะบริโภคเกินความจำเป็นอยู่ตลอดเวลา ........

...........เพราะผมยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ในการดำรงชีวิต ...หลักความพอประมาณ และมีเหตุผล สอนว่า ผมไม่จำเป็นต้องไล่ซื้อเทคโนโลยีมือถือรุ่นใหม่ๆที่เกินความจำเป็นสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ปกติ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีจากโทรฯมือถือแค่ไหน ผมก็ใช้แค่นั้น ................
................แต่ วันข้างหน้า ผมเรียนจบแล้วไปทำงาน ทำธุรกิจ ผมจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีจากโทรฯมือถือรุ่นใหม่ๆ(เพื่อใช้ในธุรกิจการงาน) ผมก็ต้องซื้อรุ่นที่แพงขึ้น แต่ก็ต้องไม่เกินความจำเป็นในการใช้งานจริง ...................

.................นี่หล่ะครับ เศรษฐกิจพอเพียงที่แท้จริง ไม่ได้ห้ามใช้ของแพง ...แต่ ....วิถีแบบพอเพียง สอนว่า การใช้ของแพง หรือ เทคโนโลยีทันสมัย ต้องอยู่บนพื้นฐาน 2 ประการ คือ 1)คุณต้องมีเงินพอที่จะซื้อ ......2) คุณต้องได้ประโยชน์จากการใช้สอยสิ่งนั้นคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป ........การซื้อโทรฯมือถือตามแฟชั่น เพื่ออวดกัน หรือไล่ซื้อรุ่นใหม่ๆ เพราะมีเทคโนโลยีมาก(ทั้งๆที่ในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสูงขนาดนั้น) นั่นคือ คุณกำลังเป็นทาสบริโภคนิยม ไม่ใช่ชีวิตแบบพอเพียง ..........................
..
**********************************************
...............เศรษฐกิจพอเพียงกับ บทเรียนฟองสบู่จตุคาม

.............ต้นปี 50 ...มีเพื่อนชวนให้ผมเล่นเก็งกำไรจตุคาม เช่ามาแล้วปล่อยไป ซึ่งการเช่าจะต้องจองล่วงหน้า และกว่าจะได้รับของก็ต้องรอเป็นเดือน ........

.......สิ่งที่ผ่านเข้ามาในความคิดของผม ......ก็คือ เหตุผลข้อแรก ...ผมไม่มีความรู้เรื่องในวงการพระเครื่องเลย ไม่รู้ว่าตลาดเป็นอย่างไร .....ตอนนี้มีพิมพ์ไหนเป็นที่นิยม มีกี่รุ่น กี่พิมพ์ ราคาเท่าไหร่กันบ้าง ......ผมไม่รู้เลยซักอย่าง .....
..........(ขณะที่ หลักความพอประมาณในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สอนว่า ก่อนจะลงทุนอะไรให้สำรวจตัวเองเสียก่อน ว่ามีความรู้ความเข้าใจสิ่งที่ตนจะลงทุนแค่ไหน)
..........เหตุผลที่ 2 ....หลักของการสร้างภูมิคุ้มกัน สอนว่า ให้คาดคิดถึงความเปลี่ยนแปลงในอนาคต และมีการป้องกันความเสี่ยง ...........
.............ผมคาดการณ์ว่า การที่ผู้ซื้อแย่งกันซื้อในช่วงแรกๆจนราคาถูกปั่นไปสูงเกินจริง เมื่อผู้ซื้อๆไปแล้วความต้องการของผู้ซื้อมันต้องลด ขณะที่ฝ่ายผู้ขาย ถ้ายังมีการแข่งกันผลิต แข่งกันปลุกเสกมาจากทั่วทุกสารทิศในประเทศ แบบนี้ ไม่นานสินค้าต้องล้นตลาด และราคาต้องตก ...................นี่เป็นหลักเศรษฐศาสตร์แบบพื้นๆ แต่คนที่รวย คนที่ชนะ คือ คนที่เข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดช่วงแรกๆ แล้วก็โกยเงินออกไปได้ก่อนที่ตลาดจะวาย ........ผมรู้ว่าถ้าเข้ามาตอนนี้ มันช้าไปแล้วสำหรับผม

...........เหตุผลที่ 3 เศรษฐกิจพอเพียงสอนเรื่องความมีเหตุผล คือใช้เหตุผลในการเลือกทางเดินของเรา อย่าตามกระแส ......หลังจากพิจารณาแล้ว ผมตัดสินใจไม่กระโดดเข้าไปเล่นในตลาดจตุคาม ....เพราะ ผมไม่ถนัด ไม่รู้เรื่องในวงการพระเครื่อง สิ่งที่ผมถนัดคือ "ตลาดหุ้น" ......เช่าจตุคามมา ปล่อยได้ในราคาแพงกว่าก็กำไร .........ซื้อหุ้นมาในราคาถูก พอหุ้นขึ้นแล้วขายออกไปก็กำไรเหมือนกัน ...... แต่ .....ที่ต่างกันคือ ผมรู้ว่าหุ้นตัวไหน เป็นยังไง .....ตัวไหนควรเล่น ตัวไหนควรหลีก .....แต่กับ จตุคามนั้น รุ่นไหน พิมพ์ไหน ควรจะราคาเท่าไหร่ ผมไม่รู้

....................แล้วก็เป็นจริงตามคาด ............

..............เมื่อประมาณไม่ถึง 2 เดือนมานี้ ผมก็เห็นข่าว จตุคามขาลง ฟองสบู่เริ่มแตก ลงหน้า 1 หนังสือพิมพ์หัวสี ผมนึกถึงคนที่จองเอาไว้ราคาหลักพัน เมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่พอถึงวันรับของจริงๆ ปรากฏว่า ราคาในตลาดของรุ่นนั้น ตกลงจนเหลือไม่ถึง 1 พันบาท ............
........(ข้อคิดอีกอย่าง ....ที่อยากจะฝากเป็นของแถม คือ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นสอนให้ยึดมั่นในพระรัตนไตร เชื่อ และ ปฏิบัติตามคำสอนในพระธรรม เป็นหลัก ไม่ได้สอนให้ไปพึ่งเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ หรือพิธีกรรมปลุกเสกอะไรทั้งนั้น เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ วิชาที่เป็นไปเพื่อการ ดับกิเลส พ้นทุกข์ และรู้ตามจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.........ในชีวิตจริงของผม พึ่งแต่พระรัตนไตร การทำบุญสร้างกุศล และศึกษาธรรมะเพื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของพุทธ .......ผมไม่เคยพึ่ง ไสยศาสตร์ เครื่องลางของขลังอะไรทั้งนั้น )


..............ปล. ทั้งนี้ .....วิธีคิดแบบพอเพียง ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไม่รู้แล้วจะต้องไม่ลงทุนเลย (อย่าสับสน) ............. ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว เห็นว่า การลงทุน ในสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว แต่เราไม่รู้ ก็ให้ศึกษาเรียนรู้ จนเข้าใจ แล้วก็ลงทุน แบบมีความรู้ความเข้าใจ ...............

******************************************

..................หลุมพรางของการรวยทางลัด เสพย์สุขเพลินจนเสียศูนย์ แต่ตั้งสติได้ด้วยวิธีคิดแบบพอเพียง .......

.....................ช่วงระหว่างปี 2547 - 2548 คือ ยุคทองของเกมส์โชว์ทาง TV ที่เปิดให้คนทางบ้านสมัครเข้าไปเล่นและคว้าเงินรางวัลหลักหมื่นไปจนถึง หลักล้านกลับบ้านกันอย่างง่ายๆ ...................ผมก็เป็นหนึ่งในนักล่ารางวัลพวกนั้น ....ผมไปเล่นมาหลายเกมส์ กวาดเงินรางวัลมามาก เท่านั้นไม่พอ ....ผมยังเอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อต่อยอดเข้าไปอีก
................เงิน 500 บาทสำหรับ น.ศ.ราม คนอื่นๆ นั้นอาจจะซื้อข้าวกินไปได้เป็นอาทิตย์ แต่สำหรับ น.ศ.รามที่หารายได้พิเศษด้วยการล่ารางวัลเกมส์โชว์ และ เล่นหุ้นอย่างผมนั้น เงินเหลักแสน เป็นอะไรที่ธรรมดามากสำหรับผม ......
..............หุ้นที่ผมเล่นอย่าง หุ้น TOP (โรงกลั่นไทยออยล์ ) ผมเล่นตั้งแต่ 48 - 49 ขึ้นไปจนถึง 70 บาท ....หุ้น ชินแซทฯ (SATTE L )ผมเล่นตั้งแต่ 12 - 13บาท ขึ้นไปจนถึง 18 บาท ............. (ยกตัวอย่างน่ะ) .................
............ช่วงนั้น "เงิน" สำหรับผม คืออะไรที่มันได้มาง่ายมากอย่างสบายๆโดยไม่ต้องทำงานอะไรเลย (มาถึงตรงนี้ ใครรู้สึกอิจฉา หมั่นไส้ผม กรุณาอ่านให้จบครับ ถ้ารู้ตอนจบแล้วคุณอาจจะไม่อิจฉาผมอีกก็ได้)
...................เมื่อเงินจำนวนมาก ได้มาอย่างง่ายๆเกินไป ....ผมก็เริ่มคึกคะนอง เริ่มประมาทและใช้จ่ายอย่างไม่รู้คุณค่า ผมสนุกกับการไปเที่ยวแบบพักค้างคืน ตามโรงแรม รีสอร์ทหรูๆ ริมทะเล สั่งอาหารกินคนเดียวมื้อละ 400 - 500 สั่งค็อกเทลมานอนจิบเล่นบนเตียงผ้าใบของรีสอร์ตหรูๆริมชายหาด (แบบพวกนักท่องเที่ยวฝรั่งต่างชาติ) .......อยู่ในกรุงเทพ ก็นั่งกินอาหารภัตตาคาร จิบกาแฟสดตามคอฟฟี่ช็อปหรูๆแก้วละ 60 - 70 อยู่เป็นประจำ .....
...........จนกระทั่ง ปี 2549 หลังกลับจากท่องทะเลอันดามัน ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ผมก็เริ่มรู้สึกตัว หลังจากพบว่า สินทรัพย์ เงินในบัญชีผม ลดลงเกือบครึ่ง จากการใช้จ่ายเสพย์สุขที่เกินตัว ประกอบกับ ช่วงนั้นตลาดหุ้นเริ่มลง และรายการเกมส์โชว์ที่ให้คนทางบ้านเข้าไปเล่น เริ่มเลิกหายไปจากจอทีละรายการ .......ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่า ความคิดที่ว่าใช้เงินไปเหอะเดี๋ยวก็ไปเล่นเกมส์โชว์ เดี๋ยวก็หามาได้อีก ......นั้นเป็นเรื่องที่ยากเสียแล้ว .............ผมเริ่มนึกถึงคำว่า "พอเพียง" อีกครั้ง ...

................ผมเริ่มพบว่า วิถีชีวิตตัวเองตั้งแต่การคิดแต่จะรวยทางลัด คิดหวังรายได้มากๆโดยไม่ทำธุรกิจการงาน ก็ดี ...หรือ การใช้จ่ายเกินตัวก็ดี ล้วนแต่ขัดกับ หลักเศรษฐกิจพอเพียงทั้งนั้น .............
.............หลังจากตั้งสติได้ ....ผมก็เปลี่ยนพฤติกรรม พยายามลดรายจ่ายจนกระทั่งน้อยกว่ารายได้(แต่ก็ ปรับตัวอยู่หลายเดือนครับ กว่าจะลดได้สำเร็จ)
.............นับว่า โชคดี ที่ตั้งสติได้ทัน ก่อนที่ชีวิตจะตกอับ ....ปัจจุบัน ผมก็ยังเที่ยวต่างจังหวัด นอนรีสอร์ท กินอาหารภัตตาคารริมแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ ......เพียงแต่ จะกินจะเที่ยวก็ต่อเมื่อได้กำไร หรือ เงินปันผล จากตลาดหุ้น แล้วแบ่งกำไรที่ได้ ออกมากินมาเที่ยวเป็นรางวัลชีวิตก็เท่านั้น ไม่ได้กินเที่ยวสุรุ่ยสุร่ายเหมือนเมื่อก่อนอีก .......................

.................นี่เป็นข้อเตือนใจสำหรับ คนที่รวยทางลัด เช่น คนถูกหวย หรือ ดารานักร้องเด็กวัยรุ่น ที่ประสบความสำเร็จ ได้จับเงินมหาศาลตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งหลาย ...บางครั้ง การได้เงินมามากเกินไป ง่ายเกินไป แต่วุฒิภาวะยังไม่สูงพอที่จะควบคุม บริหาร เงินก้อนใหญ่ๆได้ ก็ย่อมเกิดปัญหาตามมา .........

..........เศรษฐกิจพอเพียง......สนับสนุนให้รวยอย่างมีเหตุผลด้วยการประกอบสัมมาอาชีพ ไม่ว่าจะทำงาน หรือ ทำธุรกิจค้าขาย ไม่ใช่หวังจะรวยด้วยเงินที่ได้มาง่ายๆชั่วครั้งชั่วคราว(แต่ไม่ยั่งยืน)แบบพวกนักแสวงโชค ..........

...............แก่นแท้ของ เศรษฐกิจพอเพียง คือ "ทางสายกลาง" ไม่ตึง ไม่หย่อน .....ในแง่พฤติกรรมการใช้จ่าย .........."ทางสายกลาง" สอนว่า ....ไม่ควรใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว .....แต่ ขณะเดียวกัน ถ้าคุณมีเงิน มีกำลังซื้อมาก ก็ไม่ควรเอาแต่กระเหม็ดกระแหม่ กินอยู่อย่างอัตคัต ประหยัดจนเกินพอดี (คือ เมื่อประสบความสำเร็จ ในธุรกิจการงาน ก็ต้องให้รางวัลกับตัวเอง ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิต สุขภาพกาย ของตัวเอง เช่น การเดินทางท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติ หรือ การกินอาหารที่มีคุณภาพสูง เพื่อสุขภาพ ฯลฯ)
..............ถ้าคนในประเทศ ใช้จ่ายเกินตัว จนมีแต่หนี้ เศรษฐกิจก็มีปัญหา .... ถ้าคนในประเทศ เอาแต่ขี้เหนียว เงินก็ไม่ค่อยหมุนในระบบ ประเทศก็มีปัญหาเช่นกัน ......เพราะฉะนั้น "ทางสายกลาง"ครับ คือ คำตอบ .........สร้างสมดุลระหว่าง การบริโภค กับ การออมให้ได้ ..............

************************************************

.............................หลักเศรษฐกิจพอเพียง นำมาปรับใช้กับ "การเล่นหุ้น" ได้อย่างไร

..........................ในประสบการณ์การลงทุนในหุ้น กองทุนรวม กองทุนอสังหาริมทรัพย์ของผม มักจะตรงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง(โดยไม่รู้ตัว)อยู่แล้ว ............เพราะผมจะชอบลงทุนค่อนข้างยาว ในหุ้นบิ๊กแคป หรือ หุ้นปันผล ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีรองรับ ............. การลงทุนแบบนี้ มันสอดคล้องกับ หลัก เศรษฐกิจพอเพียงทั้ง 3 อย่างคือ ความพอประมาณ (ไม่หวังรวยแบบนักเก็งกำไรที่กลายเป็นนักพนัน และ แมงเม่า) ............มีเหตุผล (ซื้อเพราะปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่ซื้อเพราะเชื่อข่าวลือ) มีภูมิคุ้มกัน (ซื้อเฉพาะหุ้นที่เรารู้จักสภาพการทำธุรกิจของมันดี และศึกษามันมาพอสมควร) ......
.............ผมจะยกตัวอย่างเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆ ที่พอจะสะท้อนให้เห็นว่าวิธีคิดแบบ พอเพียง ช่วยให้ผม ถออยออกจากตลาดได้ทันก่อนที่ตลาดจะร่วงอย่างไร

.............เหตุการณ์ที่ใกล้ที่สุด คือ ช่วง เดือน พฤษภา - มิถุนายน ปี 50 หลังจากที่ผมเห็นว่า หุ้นโรงพยาบาลที่ผมถือมาตั้งแต่ กลางๆ ปี 49 มันขึ้นมาเต็มที่แล้ว จนไม่สมเหตุสมผลกับการเติบโตของกำไร ......ผมก็ขายออก แล้วก็หันไปซื้อหุ้นน้ำมัน เพราะรู้ว่า แนวโน้มราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ................ ตอนนั้นผมจำได้ว่าดัชนี SET Index อยู่แถว ๆ 600 จุด ปริ่มๆจะทะลุ 700 ...........จนกระทั่ง ช่วง กรกฎาคม ปี 50 ดัชนี ตลาดก็ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องจนขึ้นมาถึง 890 จุด .............ผมตัดสินใจขายหุ้นทำกำไร และ ถอยออกจากตลาด ในสัปดาห์สุดท้าย ของ เดือน กรกฏาคม ปี 2550 ............. แล้วผมก็ตัดสินใจได้ถูก เพราะหลังจากนั้น พอย่างเข้าเดือน สิงหา ดัชนีตลาดหุ้น ก็ตกต่ำลงตลอดทั้งเดือนจาก 890จุด ลงมาเหลือแค่ 730 จุด .

..................สิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอก็คือ เหตุผลอะไร ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจขายหุ้นและถอยออกจากตลาดได้ทัน ก่อนที่มันจะดิ่งลงในเดือนสิงหาคม

.................ตอนที่ ดัชนีขึ้นไปใกล้ๆ แตะ 890 จุด ผมพบว่า ราคาของหุ้นบิ๊กแคป หลายๆตัว ถูกไล่ขึ้นมาจนแพงเกินกว่าที่มันควรจะเป็น เช่น ค่า P/E ที่สูงขึ้นมาก .......หรือ เรื่องของอัตราเงินปันผล เมื่อเทียบกับ ราคาหุ้นที่ระดับดัชนี 890 จุดแล้ว ปรากฏว่า เปอร์เซ็นต์เงินปันผลของมันหดลงมาจนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารเสียอีก ...........ในความเป็นจริง การลงทุนในหุ้น จะมีความเสี่ยงสูงกว่าการฝากเงินกับ ธนาคาร .....ผลตอบแทนของมัน จึงควรจะต้องบวกค่าความเสี่ยงเข้าไปด้วย และมันจะต้องสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร .........แต่ถ้าเมื่อไหร่ ที่ อัตราเงินปันผลตอบแทน เทียบกับราคาหุ้น คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว ใกล้เคียงหรือ ต่ำกว่า ดอกเบี้ยเงินฝาก เมื่อนั้นหล่ะ ผมคิดว่า ราคาหุ้นมันแพงแล้ว .......
......................ที่สำคัญ ผมประเมินได้ว่า หุ้นตัวที่ผมลงทุนอยู่ ผลประกอบการ ที่จะประกาศออกมาในไตรมาส 2 จะต้องลดลง (ซึ่งเป็นผลมาจากการแข็งค่าของเงินบาท และราคาน้ำมันที่ลดลงช่วงต้นปี) ขณะที่ อัตราเงินปันผล ก็หดลงเหลือต่ำกว่า 3 % ต่อปี
................ผมคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย ถ้าราคาของหุ้นตัวที่ว่านี้ จะถูกไล่ขึ้นไปจนสูงกว่านี้ อีก ................ผมตัดสินใจขายทำกำไร .........(ต้นทุนแถวๆ 90 บาทกว่าๆ .....ผมปล่อยทำกำไร ที่ราคา แถวๆ 130 บาทต้นๆ ) .....

.................อีกอย่าง ผลกำไรในพอร์ต ที่ระดับ 20 - 30 % ภายในเวลา 1 - 2 เดือน (ขณะที่ กำไรของบริษัทลดลง ) ....ผมว่ามันเป้นผลตอบแทนที่สูงเอามากๆแล้ว ถ้าผมยังโลภ อยากจะได้ 50 - 60 % ...ผมคิดว่ามันออกจะ ฝืนความจริงมากไปหน่อย เพราะผลประกอบการเมื่อเทียบกับ ปีที่แล้ว มันก็ไม่ได้เติบโตถึง 50 - 60 % เพราะฉะนั้น ราคาหุ้นมันจึงไม่ควรจะมากไปกว่านี้ ................

.............แล้วก็จริงดังคาด .....เมื่อตลาดดิ่งลงในเดือนสิงหาคม .....หุ้นตัวที่ว่านี้ ....ก็ลงจาก 135 - 137 ลงมาทำจุดต่ำสุดอยู่แถวๆ 104 บาท ................(และผมก็ซื้อกลับอีกครั้ง ที่ระดับราคา ต่ำกว่า 110 ......เพราะเห็นว่า ราคาน้ำมัน ในตลาดโลกเริ่มปรับสูงขึ้น ..........ประกอบกับ ราคาหุ้นได้ดิ่งลง รับข่าวผลประกอบการไตรมาส 2 ไปแล้ว ขณะที่ บริษัทมีแนวโน้มจะเติบโตอีกจาก การเริ่มดำเนินการของแท่นขุดเจาะ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ในอ่าวไทยในปี 2551 .....) ขณะที่หุ้นตัวอื่นที่ปันผล สูงกว่า 5 % ขึ้นไปผมก็ถือลงทุนยาวไปเรื่อยๆ

................แล้วถามว่า สะท้อนวิธีคิดแบบพอเพียง ยังไง ..........ก็ตรงที่ว่า พอใจกับ ผลกำไร แบบพอประมาณ ที่ 20 - 30 % ไม่โลภไม่หวังมากกว่าเหตุผลหรือความจริงที่ควรจะเป็น .....................ที่สำคัญ ลงทุนด้วยความรอบรู้ รอบคอบ ในตัวธุรกิจของหุ้นที่เราลงทุน รู้ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทที่เราลงทุนอยู่ .........................

..................หรือ อีกเหตุการณ์หนึ่ง ............ ตอน 19 ธันวาคม ปี 49 ....มีการออกมาตราการกันสำรอง 30 % ...เงินลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า ....จนทำให้ ดัชนีตลาดหุ้น ร่วงลงครั้งประวัติศาสตร์ คือ ลบไป 140 จุดภายในวันเดียว ..................ตอนนั้น ผมถือหุ้นโรงพยาบาลอยู่เต็มพอร์ต .....แน่นอนหุ้นที่ผมถือ ก็ลง เหมือนกัน...แถมลงเยอะด้วย ..(แต่ลงไม่ถึงต้นทุน) ผมจำได้ว่า.ช่วงสายๆ วันที่ 19 ธ.ค.วันนั้น ผมนั่งอยู่ที่มหาลัย ..........พอเห็นดัชนีตลาดหุ้น จากจอโทรทัศน์ในโรงอาหารของมหาลัย ผมก็โทรไปถามมาร์เก็ตติ้งที่โบรกฯของผมทันที ........หลังจากรู้แล้วว่า อะไรเป็นอะไร ..........ผมก็กลับไปนั่งกินอาหารต่ออย่างสบายอารมณ์ ................
..................เพราะ ........มาตรการนี้ ไม่ได้มีผลอะไรกับ ปัจจัยพื้นฐานหรือศักยภาพการทำกำไร .....กับ การดำเนินธุรกิจหลักของโรงพยาบาลเอกชนเลย ...........เป็นการลงเพราะเหตุผลทางจิตวิทยา เพราะความตื่นตระหนกแท้ๆ .....ไม่เกี่ยวอะไรกับ ศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ โรงพยาบาล .............ผมก็เลยไม่ขายทิ้งตามกระแส .........อีกอย่าง มาตราการนี้ กระทบแต่ เม็ดเงินลงทุนของพวกเฮดจ์ฟันด์ต่างชาติ ซึ่ง พวกต่างชาติ จะลงทุนเฉพาะหุ้นใหญ่ๆ ไม่ได้มีเงินลงทุนอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นหุ้น มาร์เก็ตแค็ปเล็กๆอยู่แล้ว .................

..............แล้ววันรุ่งขึ้น .......20 ธันวาคม .......... ตลาดหุ้น ก็ฟื้น เปิดบวก 70 จุด ....ขณะที่หุ้นโรงพยาบาลของผม ราคาก็เด้งกลับขึ้นไปที่เดิม ............

............เป็นความโชคดีครับ ที่เห็นตลาดลงกว่า 100 จุด แต่ก็ยังมีสติ พิจารณาเหตุและผล ทำให้ไม่ตกใจขายหุ้นทิ้งในราคาถูกๆไปตามกระแส ...............
**********************************************************

................เมื่อ นักเล่นหุ้น ถูกท้าทายจากนักขายตรง MLM

............................. ความจริง ก่อนจะเข้าสู่วงการค้าหุ้น ....ผมก็เคยเข้าไปทำขายตรงมาก่อน ...แต่ไม่นานผมก็เลิก เพราะรู้สึกว่า มันไม่เหมาะกับ บุคลิก และ อุปนิสัยของผม (แม้ว่า แผนการตลาดมันจะสามารถสร้างรายได้มหาศาลให้กับ คนที่สำเร็จได้จริงก็ตาม) ...............แผนการตลาดของมันถูกออกแบบให้เหมาะกับ คนทุกคน ...แต่ ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับมัน ........... ดังนั้น ใน 100 คนที่เข้าสู่ธุรกิจนี้ จะทำเสร็จและรับรายได้มหาศาลตามแผนการตลาดได้จริง ประมาณ ไม่ถึง 30 คนเท่านั้น ............

............บุคคลิกผม เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ผมชอบแต่งตัวสบายๆ (สไตล์เดียวกับ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาเที่ยวในเมืองไทย ) ....ผมแต่งไปรเวท ใส่เสื้อยืด กางเกงโทนขาวแบบบูติก มีแว่นแฟชั่น ออกแนวไฮโซ แต่ ไม่เซอร์

.......... . ......ผมชอบการท่องเที่ยว เดินทางไกล ชอบการถ่ายภาพ งานเขียน งานที่ออกไปแนวศิลปะ .........และ นั่งเฝ้าตลาดหุ้น ................
.
.............ผมจะอึดอัดมาก กับ การที่ต้องใส่เสื้อเชิต กางเกงสแล็ค ใส่สูทผูกเน็คไท สวมรองเท้าหนังแต่งตัวสุภาพ แล้วก็คอยโทรฯง้อคน ตื้อคนให้เข้างานประชุมของธุรกิจขายตรง ..............
.....................เมื่อเพื่อนที่มหาลัย มาชวนผมทำขายตรง ........เขาพยายามเอารายได้มหาศาลจากแผนการตลาดมากระตุ้นกิเลสผม ...แต่ไม่สำเร็จ .....ผมปฏิเสธไปโดยสิ้นเชิง .......

.........เหตุผลก็เพราะ ....มันไม่เหมาะกับ บุคลิกอุปนิสัยของผม และใจก็ไม่ได้รักในอาชีพขายตรง (ฝืนทำไปก็ไม่สำเร็จ) ............แต่เรื่องหุ้นนั้น ใจมันรัก ผมเริ่มศึกษามาทีละเล็กละน้อยตั้งแต่อายุ ไม่ทันถึง 20 .....แล้วผมก็พบว่าตัวเองเหมาะกับ การเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นเสียด้วย
...........กลับมาที่ เศรษฐกิจพอเพียง ....ในแง่ความพอประมาณ สอนว่า ให้เราสำรวจตัวเองเสียก่อน ว่า เป็นใคร ถนัดอะไร เหมาะกับอะไร มีศักยภาพแค่ไหน ใจรักทางด้านไหน ....แล้วก็ทุ่มเททำในสิ่งที่ เป็นตัวเรา อย่างเต็มศักยภาพ ........อย่าไปฝืนทำในสิ่งที่ไม่ถนัด (เพราะความโลภ)
..........ส่วนในแง่ความมีเหตุผล สอนว่า ให้เราเลือกทางเดินของตัวเอง ไม่ควรตามกระแสทำอะไรด้วยความโลภ ............

...........ในหลักการ ของ พุทธศาสนา สอนเรื่อง ทางสายกลาง ......ไม่ตึง ไม่หย่อน ...มีแง่คิดอยู่ตรงที่ .....หากเราทำอะไรไม่สำเร็จ .....ก็ให้พิจารณา 2 ประการ .. ประการแรก เรายังทำไม่เต็มที่หรือเปล่า........ถ้าใช่ ก็ ต้องเพิ่มความพยายามอีก ..........ประการที่ 2 เป็นเพราะ เส้นทางนั้น ไม่เหมาะกับเราหรือเปล่า ...ถ้าใช่ ...ก็ เลิกซะ อย่าฝืน แล้วหันไปเลือกเส้นทางที่เหมาะกับ เรา ( อย่างที่ พระพุทธองค์ ทรงเลือกบำเพ็ญทุกขรกริยา หรือ อัตกิลมถานุโยค ในตอนแรก จนเห็นแล้วว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้องเหมาะสม ก็หันมา ยึดทางสายกลางในที่สุด)

.................สิ่งที่ผม ทำ และ คิดจะทำต่อไปในอนาคต มันก็สามารถที่จะพาผมไปสู่การเกษียณตัวเอง เป็นอิสระภาพทางการเงิน ได้ก่อน อายุ 45 - 50 ได้เช่นกัน .... อิสระภาพทางการเงิน ความร่ำรวย การประสบความสำเร็จทางการเงิน ไม่ได้ผูกขาดอยู่แต่ในธุรกิจขายตรงMLM นะครับ ..................

................********************************
..........บังอาจหยามผมก่อน เลยโดนศอกกลับหน้าหงาย ปรัชญาการทำธุรกิจที่ดี ต้องไม่เอาความโลภเป็นที่ตั้ง

.............มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ผม รอเพื่อนอยู่ที่ใต้ตึก sbb ในมหาลัย .....มีคนเอาแบบสอบถามบางอย่างมาให้ผมกรอก ....ผมกรอกไปซักพักก็รู้สึกว่า มันเหมือนแบบสอบถามที่จะชวนไปทำงานอะไรซักอย่าง .....ผมถามกลับว่า เป็นงานขายตรงใช่มั๊ย .....เขา 2 คน เห็นผมรู้แล้ว เขาก็ ยอมตอบตามจริง ว่าใช่
.......แต่ไม่แค่นั้น เขาชวนผมคุย แล้วก็ตามด้วย การเขียนแผนการตลาดให้ดู เพื่อจะชวนผม ......
..........................แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตะหงิดๆอย่างบอกไม่ถูก ก็คือ ...เขาไม่พูดแผนการตลาดเปล่าๆ แต่เขายังพูดจาดูถูก พวกคนทำงานประจำ กับ คนทำธุรกิจค้าขายอย่างอื่นไปด้วย ....ผมเริ่มไม่เห็นด้วยกับเขา และเริ่มมีข้อโต้แย้งไปบ้าง

.....และ สิ่งที่ทำให้ผม ฉุนขาดขึ้นมาทันที ก็ตรงที่ เขาเริ่มรู้แล้วว่าผมไม่เอาด้วยกับ เขาแน่ เขาก็เลยเอาแบบสอบถามที่ผมกรอกไว้ตอนแรก ขึ้นมาอ่าน แล้วถามผมว่า "คุณ ไม่ทำธุรกิจนี้ (ธุรกิจขายตรงที่เขากำลังนำเสนออยู่) แล้วจะไปทำกิจการอย่างอื่น แล้วก็ จะลงทุนในตลาดหุ้นด้วยน่ะ นักศึกษาแบบคุณ มีทุนมากขนาดนั้นเหรอ .."
.............คุณบอกว่าคุณชอบงานแบบนี้ (เป็นงานสายศิลปะ) เคยได้ยินมั๊ย ที่เขาพูดกันว่า "ศิลปินไส้แห้ง" น่ะ ...
...........แล้วเขาก็อ้างชื่อคนท่านหนึ่ง (ที่มีนามสกุลเป็นคนร่ำรวย ซึ่งสังคมไทยรู้จักนามสกุลนี้ดี) เขาอ้างว่า ขนาดบุคคลท่านนี้รวยขนาดนี้ เขายังมาทำขายตรงเลย .....แถมบอกด้วยว่า ตำแหน่งสูงสุดในแผนการตลาดของเขา รายได้เดือนละล้าน แล้วก็มาถามผมในทำนองว่า ไปทำธุรกิจ หรือ ลงทุนอย่างอื่น (ที่ผมเขียนไว้ในแบบสอบถาม) น่ะ มีรายได้เท่าแผนการตลาดของเขาหรือเปล่า ..........ขณะที่อีกคนก็สำทับว่า "รายได้ขนาดนี้ ถ้าไม่เอาก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว" .......

.............ทันทีที่ได้ยินประโยคเหล่านี้ ...ผมรู้สึกว่าจะต้องพูดอะไรซักอย่าง เพื่อสั่งสอนเจ้าเด็ก 2 คนนี้เสียหน่อยแล้ว ......................ผมสวนกลับทันที " ผมฟันธงเลยว่า คุณ 2 คน ทำธุรกิจขายตรงไม่สำเร็จหรอก .....ไม่ใช่แค่ขายตรง แม้แต่ธุรกิจค้าขายอย่างอื่นด้วย ........ ..........เพราะทัศนะคติของพวกคุณที่มีต่อ เรื่อง เงินๆ ทองๆ กับ เรื่องธุรกิจ น่ะ มันผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว ..............เพราะการเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรก็ตาม ถ้าทำโดยเอาความโลภ ความอยากรวย อยากได้เงินมากๆเป็นเป้าหมาย เป็นที่ตั้ง ก็จงเตรียมตัวพังตั้งแต่เริ่มได้เลย ...................
..............ลองดู นักธุรกิจใหญ่ๆ กิจการใหญ่ๆ ที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงในระดับประเทศ หรือ ระดับโลก .....อุดมการณ์ในธุรกิจของเขา ถ้าไม่เริ่มจาก ความคิดที่ต้องการจะสร้างอะไรซักอย่างเพื่อมาสนองสิ่งที่มนุยย์ขาดแคลน หรือ จากสิ่งที่ตัวเจ้าของผู้ก่อตั้งมีใจรักแล้วก็สนุกกับมัน ........แต่คนที่กระโดดเข้ามาทำธุรกิจด้วยความกระสันอยากรวยจนตัวสั่นนั้น ...พวกนี้ พอเจอปัญหา อุปสรร หรือทำรายได้ไม่ได้ดั่งใจ ก็จะอยู่ในวงการได้ไม่นาน........ก็ต้องพังในที่สุด ........
...............อีกอย่างคนทำขายตรง ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ คุณเล่นดูถูกคนในอาชีพอื่นๆพร่ำเพรื่อแบบนี้ คุณทำงานขายไม่ได้หรอก ..................

...........ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความสุข ...............ผมไม่สนว่าคุณจะมีรายได้เดือนละกี่ล้าน ....แต่ที่ผมสนก็คือ คุณรวยแล้ว คุณมีความสุขในชีวิตหรือเปล่า........ธุรกิจที่ผมทำ สิ่งที่ผมลงทุนอยู่ มันอาจจะมีรายได้น้อยกว่า แต่ผมก็มีความสุขกับมัน อีกอย่าง รายได้จากสิ่งที่ผมลงทุน สิ่งที่ผมทำ และ จะทำเพิ่มในอนาคต มันก็ สามารถที่จะทำให้ผมอยู่ได้แบบมีอันจะกิน มีอิสระภาพทางการเงินแบบสบายๆ ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว ........จะไปดิ้นรนกอบโกยเกินความจำเป็น(จนชีวิตไม่เป็นตัวของตัวเอง) ให้มันเกิดทุกข์ขึ้นมาทำไม ................

........(ปล. ที่สำคัญ ผมไม่ลืมที่จะย้อนกลับว่า "ตอนนี้น่ะ ผมก็เล่นหุ้นอยู่แล้วนะครับ " ) .........................

....................สุดท้าย ...ที่อยากจะฝากท่านผู้อ่าน ก็คือ ..........รวยแบบเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ รวยแล้วชีวิตต้องมีความสุข นะครับ ..........(ความสุข คือ การที่สามารถออกแบบชีวิตได้ตามที่พึงปราถนา ...ความสงบ ในชีวิต .สามารถปล่อยวางได้ ..........ซึ่ง ต่างกับ ความสนุก จากการ เสพย์สุขในทรัพย์สิน เงินทอง อย่างสิ้นเชิง ตรงนี้ต้องแยกให้ออก ) ......................

.................ที่สำคัญ จุดสูงสุดของ เศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ "การรู้จักพอ และ รู้จักเผื่อแผ่ " .................ดังเช่น ที่ มหาเศรษฐี ระดับโลก อย่าง บิลเกสต์ วอเรนบัฟเฟต์ .....ได้สละเงินจำนวนมหาศาล เพื่อสาธารณะกุศล ในบั้นปลายชีวิต .......

.*****************************************

.............นี่เป็นตัวอย่าง ...........(ความจริง ตัวอย่างการเอาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวันของผม ยังมีเยอะกว่านี้) .........แต่นี่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่างเล็กๆ ......เป็นแนวทางที่คุณสามารถนำเอา ไปเป็นแง่คิด ไปปรับใช้ได้จริง ...

............แง่คิด ส่วนใหญ่ ก็เป็นการนำหลักปรัชญา แบบเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน มาประยุกต์ใช้ ..........และบางส่วนก็ ได้มาจาก ปาฐกถาของ ท่าน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ......

................อาจจะยาวไปหน่อย ......อันไหนที่ดี ก็หยิบไปใช้ ....อันไหนที่รู้สึกว่าไม่ดี ก็ อย่าไปใส่ใจ ....หรือ ติชม แลกเปลี่ยนกันได้....................

.......แล้ววันนี้ คุณ ได้ลองนำเอาแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันบ้างแล้วยังครับ !

.Mr.K.Cheng Gong (จิ้งจอกหน้าหยก เซียวอิงจวิ้น)

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์