ส่วน1ของประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่

ไรอัน กิกส์

ส่วน1ของประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่

รอัน โจเซฟ กิกส์ (อังกฤษ: Ryan Joseph Giggs) ชื่อเดิม ไรอัน โจเซฟ วิลสัน (อังกฤษ: Ryan Joseph Wilson) เป็นนักฟุตบอลชาวเวลส์เชื้อสายเซียร์ราลีโอน เล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในตำแหน่งปีกซ้าย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) ใส่เสื้อประจำทีมหมายเลข 11 ปัจจุบันเป็นรองกัปตันทีมแมนฯยู ไม่เคยโดนใบแดงและเป็นผู้เล่นที่ลงเล่นมากที่สุดในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
[แก้]ผลงาน

[แก้]แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก แชมป์ 12 สมัย : ฤดูกาล 1992-1993, 1993-1994, 1995-1996, 1996-1997, 1998-1999, 1999-2000, 2000-2001, 2002-03, 2006-2007, 2007-2008, 2008-2009, 2010-2011
เอฟเอคัพ แชมป์ 4 สมัย : ฤดูกาล 1993-1994, 1995-1996, 1998-1999, 2003-2004
ลีกคัพ แชมป์ 3 สมัย : ฤดูกาล 1991-1992, 2005-2006, 2008-2009, 2009-2010
คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 8 สมัย : ปี 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แชมป์ 2 สมัย : ฤดูกาล 1998-1999, ฤดูกาล 2007-2008
ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ แชมป์ 1 สมัย : ปี 1991
ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก แชมป์ 2 สมัย : ปี 1999 ,ปี 2008
[แก้]รางวัลส่วนตัว
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : 2009
ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ : 1992, 1993
บราโว อวอร์ด : 1993
ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งทศวรรษของพรีเมียร์ลีก : 2003
ได้รับเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศฟุตบอลอังกฤษ : 2005
นักฟุตบอลเวลส์ยอดเยี่ยมแห่งปี : 1996, 2006
รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก : กันยายน 1993, สิงหาคม 2006, กุมภาพันธ์ 2007
ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งศตวรรษของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ : 2007
ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ : 1993, 1994, 1995, 1996, 1998, 2001, 2007
เป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเพียงคนเดียวที่ได้แชมป์ลีกมากถึง 12 สมัย

รอยคีน

ส่วน1ของประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่

รอย คีน เกิดวันที่ 10 ตุลาคม 1971 ที่เมืองคอร์ก เขาเริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอลกับ คอบห์ รัมเบลอร์ส ต่อมา ไบรอัน เคลาจ์ ได้ติดต่อและพาเขาย้ายไปเล่นให้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในขณะที่เขาอายุได้ 18 ปี โดยการลงสนามนัดแรกของเขาเป็นบทพิสูจน์ตัวเขาเองอย่างแท้จริง เมื่อทีมต้องไปเยือน ลิเวอร์พูล ทีมซึ่งได้แชมป์ลีกในปีนั้น และเขาก็จบฤดูกาลแรกที่เขาเล่นให้กับทีมแบบเต็มที่ กับการลงเล่นใน เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1991 เมื่อเขาอายุได้ 20 ปี

จากฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขา ก็ไม่สามารถหลุดรอดผ่านสายตาของผู้จัดการทีมชาติไปได้ โดย แจ็ค ชาร์ลตัน ผู้จัดการทีมสาธารณรัฐไอร์แลนด์ในขณะนั้น เรียกเขาติดทีมชาติในเดือน พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1991

ในฤดูกาลหลังจากนั้น น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมของเขาก็พ่ายให้กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 0 ในลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ อีกทั้งทีมต้องตกชั้นในฤดูกาลถัดมา ทำให้ในช่วงปิดฤดูกาลการแย่งชิงตัวเขาจึงเกิดขึ้น และผู้ที่สามารถเซ็นต์สัญญาได้ตัวเขาไปร่วมทีมก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับค่าตัว 3.75 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าตัวที่แพงที่สุดของสโมสรและของทีมในเกาะอังกฤษเวลานั้น

ในระหว่างที่เขาเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งทักษะ การขับเคลื่อน การตัดสินใจ และความมุ่งมั่นในเกมทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ ทำให้หลายคนต่างเปรียบเขากับอดีตนักเตะตำนานของทีมไบรอัน ร็อบสัน เลยทีเดียว

เขามีตำแหน่งเป็นถึงกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งรับช่วงต่อจาก เอริค คันโตน่า หลังจบฤดูกาล 1996/97 เมื่อ ก็องโต้ ประกาศแขวนสตั๊ด แต่ก่อนเริ่มฤดูกาลแรกของการเป็นกัปตันทีมเพียงไม่กี่วัน เขากลับต้องพบกับอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า ทำให้ต้องพักเป็นระยะเวลานานทีเดียว

มีผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคนให้ข้อสังเกตว่า ฤดูกาลใดก็ตามที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สะดุด หรือโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังนั้น มักสืบเนื่องมาจากการขาด รอย คีน และจากการบาดเจ็บของเขาในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1997 ทำให้ทีมปีศาจแดงต้องพลาดแชมป์ในปีนั้น และทีมชาติของเขาเองก็ตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกในปี ค.ศ. 1998 ด้วย

ในฤดูกาล 1998/99 รอย คีน กลับมาลงเล่นด้วยความฟิตเหมือนเดิม และเขาสามารถช่วยทีมได้มากทีเดียว จนกระทั่งในรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เขาต้องถูกใบแดงไล่ออกจากสนามตามด้วยการถูกใบเหลืองในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ semi-final ที่พบกับ ยูเวนตุส ทำให้เขาไม่ได้ร่วมทีมในนัดแห่งความทรงจำที่ บาร์เซโลน่า อย่างไรก็ดี เขาสามารถกลับมาลงเล่นให้กับทีมได้ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่พบกับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และขึ้นรับถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ชิพ ในที่สุด

การเจรจาเซ็นต์สัญญากับเขาในฤดูกาล 1999/2000 ก็เริ่มขึ้นด้วยการประโคมข่าวต่างๆ นานาของสื่อ ทั้งข่าวที่ว่ากัปตันทีมผู้นี้ ปฏิเสธข้อเสนอของสโมสร จนกระทั่ง ก่อนเริ่มเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเลนเซีย ก็มีการประกาศออกมาว่าเขาเซ็นต์สัญญาฉบับใหม่กับสโมสรแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่า เขาจะเล่นให้กับทีมเหมือนไม่มีอะไรหนักอกหนักใจอีกแล้ว

รอย คีน สามารถทำประตูให้กับทีมได้ถึง 12 ประตูในฤดูกาลนั้น ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นประตูที่ได้ในฟุตบอลถ้วยยุโรป และด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็น “นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล” โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หลังจากนั้น เขาก็ยังพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก เป็นครั้งที่ 7 ของสโมสรในฤดูกาล 2000/2001

ทางด้านการลงเล่นให้ทีมชาติ เขาก็ลงเล่นนัดที่ 50 ให้กับทีมชาติ ด้วยชัยชนะเหนือ ไซปรัส 4 – 0 จากฟอร์มการเล่นของเขาช่วยพาทีมผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ โดยอยู่ในกลุ่มเดียวกับ โปรตุเกส และ ฮอลแลนด์ แต่เขาได้มีปัญหากับผู้จัดการทีมชาติ มิค แม็คคาธี่ย์ ทำให้ต้องถูกส่งตัวกลับประเทศและไม่สามารถลงเล่นช่วยทีมชาติได้ในขณะนั้น สื่อต่างก็ประโคมข่าวกันมากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้น และทำนายกันว่าจะเกิดอะไรตามมา โดยหลังจากนั้นไม่กี่เดือน รอย คีน ก็ออกมาประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติไอร์แลนด์ ในที่สุด

คีน โชคไม่ค่อยดีนักเมื่อต้องเข้ารับการผ่าตัดบริเวณสะโพก และต้องพักไปอีกหลายเดือนในช่วงต้นฤดูกาล และเมื่อเขากลับมา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสงบและใจเย็นขึ้นในการลงสนาม และแม้ว่าจะมีคำถามมากมายจากแฟนบอลและสื่อมวลชนว่า เขาจะอยู่กับทีมอีกนานแค่ไหน และจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ แต่ รอย คีน เองก็ตอบคำถามนี้ด้วยตนเองว่า “ผมยังคงมีงานต้องทำที่นี่อีกอย่างน้อย 2 – 3 ปีนี่แหละ” ซึ่งนั่นก็คงสร้างความมั่นใจให้กับแฟนปีศาจแดง ได้ไม่น้อย

ช่วงปี 2005 คีนซึ่งมีอาการเจ็บออดๆแอดๆ ทำให้ไม่ค่อยได้ลงสนามอยู่แล้ว และยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้เฟอร์กี้โมโหคีนด้วย ซึ่งนั่นก็คือ การที่ท่านเซอร์ ไปรู้มาว่า คีนกำลังเตรียมตัวที่จะไปเล่นให้ทีมอื่น รวมถึงไปวิจารณ์นักเตะคนอื่น เช่น ริโอ เฟอร์ดินาน ว่าค่าเหนื่อยสูงเกินไป (120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์) ปัญหาต่างๆ ทำให้เซอร์ ซึ่งไม่ชอบนักเตะที่ไม่มีวินัยอยู่แล้ว ปล่อยตัวเขาออกจากทีมไป

คีน ย้ายไปเล่นให้กับเซลติก โดยได้รับค่าเหนื่อ 40,000 ปอนด์ เขาทำหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง ซึ่งลงข้อความไว้ด้วยว่า เขาตั้งใจที่จะเสียบสกัด อัฟ อิงเก้ ฮาร์แลนด์ อย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เขาขาหักอย่างสาหัส จนต้องเลิกเล่นไปเลย ทำให้คีนถูกปรับเป็นเงิน 150,000 ปอนด์ต่อกรณีดังกล่าว และจบชีวิตการค้าแข้งลงที่นี่ ด้วยจำนวนการลงแข่ง 10 นัด

ชีวิตของ คีโน่ หวนกลับเข้ามาในวงการฟุตบอลอีกครั้ง เมื่อทีมซันเดอร์แลนด์ ได้แต่งตั้งคีน ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ ซึ่งคีนสามารถทำทีมซันเดอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ ทะลุขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ ในฐานะ แชมป์พรีเมียร์ชิพ! สร้างปรากฎการณ์ให้กับคีนเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ดี การคุมทีมของคีน ณ ศึกพรีเมียร์ลีก ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำทีมพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งจมสู่ส่วนท้ายของตาราง ทำให้ต้องไขก๊อกลาออกไปในที่สุด

ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม รอย มอรีซ คีน
เกิด 10 สิงหาคม ค.ศ. 1971 (40 ปี)
เกิดที่ คอร์ก ประเทศไอร์แลนด์
สูง 1.78 เมตร (5 ฟุต 10 นิ้ว)
ตำแหน่ง กองกลาง
ชุดเยาวชน
1979-1989 ร็อกเมานต์
ชุดใหญ่*
ปี ทีม ลงเล่น† (ประตู)†
1989-1990 คอบห์แรมเบลอส์ 12 (1)
1990-1993 นอตติงแฮมฟอเรสต์ 114 (22)
1993-2005 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 323 (33)
2005-2006 เซลติก 10 (1)
รวม 459 (57)
ทีมชาติ
1990-1991 ไอร์แลนด์ชุดยู 21 4 (0)
1991-2005 ไอร์แลนด์ 66 (9)
ผู้จัดการทีม
2006-2008 ซันเดอร์แลนด์
2009-2011 อิปสวิชทาวน์

โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์

ส่วน1ของประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่

โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เกิดที่เมือง คริสเตียนซันด์ ประเทศนอร์เวย์ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 1973 หลังจากที่เล่นฟุตบอลเป็นงานอดิเรกกับทีม Clausenengen FK ในดิวิชั่น 3 ของนอร์เวย์ เขาก็ย้ายไปเล่นให้กับ Molde ในพรีเมียร์ลีก นอร์เวย์ ปี 1995 และด้วยฟอร์มการเล่นของเขาก็ทำให้เขาติดทีมชาตินอร์เวย์ และใช้เวลาไม่นานเลยที่จะทำให้สโมสรใหญ่ๆ หลายสโมสรในยุโรปสนใจในตัวเขา ด้วยความสามารถที่โดดเด่นของเขาเองทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อลัน เชียร์เรอร์ แห่งนอร์เวย์”

ในช่วงซัมเมอร์ปี 1996 อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตกลงใช้บริการเขาด้วยการซื้อตัวจาก Molde 1.5 ล้านปอนด์ และเขาสามารถยิงประตูให้กับทีมได้ครั้งแรกในนัดที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และตั้งแต่นั้นมาก็ดูเหมือนว่าเขาจะยึดตำแหน่งในทีมชุดใหญ่เป็นการถาวรเลยทีเดียว ด้วยจำนวน 19 ประตู (18 ประตูในลีก) พร้อมทั้งตำแหน่งดาวซัลโวของทีม และได้เหรียญพรีเมียร์ชิพ คล้องคอเป็นเหรียญแรกของเขาหลังจบฤดูกาล

เขากลายเป็น "เพชรฆาตหน้าทารก" ที่ได้รับความเชื่อถือและเป็นที่ชื่นชอบของแฟนทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และจากฟอร์มการเล่นของเขาตลอดฤดูกาลแรกกับทีมปีศาจแดง นั้น อาจจะทำให้ผู้จัดการทีมเก่าของเขาคิดเสียดายว่าทำไมไม่ขายเขาให้ยูไนเต็ดแพงกว่านี้นะ!

ในช่วงต้นฤดูกาล 1998/99 มีข่าวลือออกมาหนาหูว่า โซลชาร์ อาจจะย้ายออกจากถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด เนื่องจากการย้ายมาด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ของ ดไวท์ ยอร์ค แต่อย่างไรก็ดี ครั้งนี้ต้องเครดิตให้กับตัวเขาเองเต็มๆ เมื่อเขาตัดสินใจที่จะอยู่กับสโมสรต่อไป และพร้อมที่จะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งศูนย์หน้า แม้ว่าหลังจากนี้เขาจะกลายเป็นตัวสำรองของทีมอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่ประตูชัยที่เขายิงให้กับทีม ในนัดที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ใน เอฟเอ คัพ รอบที่ 4 และการยิงถึง 4 ประตูในเวลาเพียง 13 นาที ในนัดที่เอาชนะ น็อตตอ้งแฮม ฟอเรสต์ 8 – 1 ใน 2 สัปดาห์ถัดมา ก็ทำให้เขาเป็นที่กล่าวขวัญถึง และได้รับสมญานามจากสื่อในอังกฤษว่า super sub!! (สุดยอดตัวสำรอง)

ารยิง 4 ประตูใน 13 นาทีของเขากลายเป็นสถิติใหม่ของฟุตบอลอังกฤษ แต่อย่างไรก็ดี การลงสนามของเขาก็ยังคงน้อยครั้ง แม้ว่าจะได้เดินลงสนามเป็นหนึ่งใน 11 นักเตะในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ กับ นิวคาสเซิ่ล แต่เขาก็ต้องกลับไปนั่งม้านั่งสำรองอีกในนัดที่พบกับ บาเยิร์น มิวนิค ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ แต่ก็เหมือนเป็นลางดีบางอย่าง ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เขาถูกเรียกตัวจากม้านั่งข้างสนาม และเขาก็ได้กลายเป็นผู้ที่นำชัยชนะให้กับทีมในวินาทีสุดท้าย จนทำให้แฟนๆ ต้องร้องเพลง "Who put the ball in the Germans' net......?"

กับทีมชาตินอร์เวย์ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มีรายชื่อติดทีมชาติเพื่อไปสู้ศึกฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส และทีมก็เข้าถึงรอบ 2 ในรายการนี้ กับสโมสรในฤดูกาล 1999/2000 สำหรับเขาก็ไม่แตกต่างจากเดิมด้วยการเป็นตัวสำรองกว่า 50% แต่เขาก็สามารถทำประตูให้กับทีมได้ 15 ประตู ในการลงเล่นเป็นตัวจริง 20 นัดและตัวสำรอง 21 นัด และหลังจากนั้นก็มีข่าวอีกว่า สเปอร์ส และ ลีดส์ สนใจที่จะซื้อตัวเขาไปร่วมทีม แต่ในที่สุดช่วงท้ายฤดูกาลเขาก็ต่อสัญญากับทีม โดยสัญญานี้จะทำให้เขาอยู่กับทีมไปจนกระทั่งอายุครบ 33 ปี

เขามีชื่อติดทีมชาตินอร์เวย์ ในศึกยูโร 2000 แต่เขาก็ไม่สามารถทำประตูได้ อีกทั้งนอร์เวย์ ก็ไม่สามารถผ่านรอบแรกไปได้ แต่อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นเขาก็ได้รับข่าวดีเมื่อภรรยาของเขา Silje ให้กำเนิดลูกชายคนแรกชื่อว่า Noah แม้ว่าเขาจะเล่นในตำแหน่งตัวสำรองมาเสียส่วนใหญ่แต่เขาก็สามารถทำประตูที่ 100 ให้กับทีมได้ ในนัดแรกของฤดูกาล 2002/03 ซึ่งทีมเอาชนะ เวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน มาได้ 1 – 0

ตอนนี้เขาเป็นคุณพ่อลูกสองแล้ว โดยภรรยาเขาได้ให้กำเนิดลูกคนที่ 2 ซึ่งเป็นลูกสาว ชื่อว่า Karna ซึ่งเกิดในวันที่ 3 มีนาคม 2003 จนถึงขณะนี้เขาทำประตูให้กับสโมสรไปแล้ว 115 ประตู ถือว่าเป็นสถิติที่ดีทีเดียวสำหรับผู้ที่ลงเล่นในตำแหน่งตัวสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่

ในฤดูกาล 2003/04 หลังจากสามารถยิงประตูแรกในฤดูกาลของตัวเองในนัดที่พบกับ พานาธิไนกอส ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเดือนกันยายนแล้ว เขาก็ต้องพบกับอาการบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขัน และต้องเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง ในครั้งนี้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดและต้องพักนานกว่า 5 เดือน นั่นก็หมายความว่าในฤดูกาลนี้เขาได้ลงเล่นเพียง 19 นัดและทำประตูให้กับทีมได้เพียง 1 ประตูเท่านั้น แม้ว่าเขาสามารถกลับมาฝึกซ้อมได้อีกครั้งในช่วงต้นปี 2004 แต่ก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้งบริเวณหัวเข่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา นั่นก็จะทำให้เขาต้องพลาดการลงสนามให้กับทีมไปตลอดทั้งฤดูกาล 2004/05

แต่อย่างไรก็ดี เขาก็ยังคงเป็นที่รักใคร่ของแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ยังคงร้องเพลงกึกก้องให้เขาอยู่เสมอ “Please don't take my Solskjaer away.”

โซลชาร์ อยู่กับทีมมาอีก 3 ฤดูกาล แต่ปัญหาอาการบาดเจ็บเขายังคงรบกวนอยู่ตลอดเวลา หนักถึงขนาดในฤดูกาลที่ 2007/08 ไม่ได้ลงสนามเลยสักนัด ประกอบกับด้วยวัย 34 ปี ซึ่งถือว่ามากพอสมควรแล้ว โซลชาร์ เลยตัดสินใจจบชีวิตการค้าแข้งของตนเอง ในฤดูกาลนี้

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์