เถียงกันทำไม...

ไปเจอบทความน่าสนใจเลยเอามาฝากให้อ่านกันเล่นๆ.....

ขอบคุณ บทความจากบล็อก :แร้ไฟ


เถียงกันทำไม...


ดูเผินๆก็น่าจะเป็นว่า ยิ่งเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น วุฒิภาวะที่มากขึ้น น่าจะทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น และน่าจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นน้อยลง แต่เอาเข้าจริงๆแล้วมันเป็นอย่างนั้นหรือ??? …. วันนี้มีเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่เป็นเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง 2 เรื่อง??..

มีคู่รักคู่หนึ่งรักกันมาเกือบสิบปีครับ ยังไม่ได้แต่งงานกันแต่ก็วางแผนว่าอีกไม่นาน ด้วยความที่คบกันมานาน ทั้ง 2 จึงสนิทกันมาก ข้าวของเครื่องใช้ของฝ่ายหนึ่งก็มีไปอยู่ที่บ้านอีกฝ่ายหลายชิ้น วันหนึ่งท่อในห้องน้ำที่บ้านของฝ่ายชายเกิดเสียขึ้น ด้วยอารมณ์ประหยัด ฉลาดเฉลียวปนขี้เกียจ เหลียวซ้ายแลขวา เจอะเข้ากับรองเท้าแตะเก่าๆโทรมๆคู่หนึ่ง ก็ประหนึ่งเกิดพุทธิไอเดีย ทรงพระปิ๊งขึ้น จัดการนำเจ้าแตะชะตาขาดมาหั่นเป็นชิ้นๆแล้วนำไป ประยุกต์ใช้ซ่อมห้องน้ำจนเสร็จ ตกเย็นสาวเจ้ากลับมา พี่แกก็บอกฝ่ายหญิงว่า นี่วันนี้แกซ่อมห้องน้ำด้วยตัวเองด้วยนะ พร้อมเล่าขั้นตอนให้ฟังอย่างภูมิใจ เรื่องมันเหมือนจะดีครับ ถ้าไม่ใช่มาติดที่ว่า รองเท้าชราชะตาขาดคู่นั้น ดันเป็นอีแตะคู่โปรดของหญิงสาว!!

ปรากฏว่าทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงครับ ทางสาวเจ้าก็โมโหโกรธาว่าทำไมไม่โทรมาถามเธอก่อนสักคำ ถึงมันจะเก่าและไม่ค่อยได้ใช้แล้วแต่มันก็เป็นของส่วนตัวของเธอ กะอีแค่เดินไปปากซอยซื้อวัสดุมาซ่อมมันลำบากนักเหรอ ทำไมไม่เกรงใจกันเลย ส่วนฝ่ายชายก็ว่า เอ๊ะ นี่ผมซ่อมห้องน้ำเหนื่อยมาทั้งวัน เงินไม่ต้องเสียสักบาท แทนที่จะถามสักคำว่าเหนื่อยไหม แทนที่จะชมว่า รู้จักเอาของอื่นมาดัดแปลงให้เป็นประโยชน์ไม่ต้องสิ้นเปลือง กลับมาว่าเสียนี่ กะอีแค่รองเท้าไม่ใช้แล้วคู่เดียวอะไรกันนักหนา.......
เรื่องราวในวันนั้นจบลงอย่างไรผมไม่ทราบครับ แต่รู้ข่าวล่าสุดว่า ตั้งแต่นั้นทั้งคู่เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น และสุดท้ายก็เลิกรากันไป...ทั้งที่คบกันมาเกือบสิบปี.........น่าเสียดายนะครับ


อีกเรื่องเกิดกับตัวผมเอง
ความสั้นๆว่า มีเพื่อนคนหนึ่งคุณพ่อของเธอป่วย เธอค่อนข้างเครียดและเธอก็ไม่ได้เจอเพื่อนๆหลายคนนานแล้ว วันหนึ่งมีโอกาสคุยกัน เลยบอกเธอว่า เพื่อนคนอื่นๆบ่นว่าคิดถึงและเป็นห่วงเธอกับคุณพ่อนะ เธอเป็นยังไงบ้างล่ะ เธอฉุนขาดขึ้นมาเลยครับว่า อ้าว! เป็นห่วงเธอคิดถึงเธอทำไมไม่โทรมาหาล่ะ ทำไมไม่เห็นติดต่อเธอเลยสักคนรวมทั้งผมด้วย คิดถึงเธอแต่บ่นกันเอาเองแบบนี้ เธอไม่ดีใจเลย เสียใจมากกว่า รู้สึกอย่างไรเก็บไว้ไม่แสดงออกมันจะมีประโยชน์อะไร สุดท้ายก็มีแต่เธอที่เจ็บปวดคนเดียว ตูมมาแบบนี้ผมเองตั้งตัวไม่ถูกเหมือนกัน
ท่าทางเธอเครียดและเสียใจกว่าที่ผมคิด วันนั้นเราถกเถียงกันเรื่อง การแสดงออกและไม่แสดงออกทางความรู้สึกนี่นานพอดู และบทสนทนาก็จบลงอย่างไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก..............


ทั้ง 2 เรื่อง ขอไม่ออกความเห็นว่าใครถูกหรือผิดครับ และบางทีคงไม่มีคนถูกหรือผิดด้วยซ้ำ
หากจะมีก็คงเป็นความแตกต่างในวิธีคิด และความเชื่อของแต่ละคน ...... คนส่วนมาก ชอบจำสับสนระหว่าง แตกต่าง กับแตกแยก ทั้งที่ 2 คำนี้ไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเลย คนส่วนใหญ่มักอยากให้ผู้อื่น คิดเหมือน เชื่อเหมือน เป็นเหมือนตนเอง บางทีการยอมรับความแตกต่างกัน คงยากเกินไปสำหรับพวกเขา
..

บางคนทะเลาะกัน เพียงเพราะความแตกต่างบางเรื่อง... ไอ้ปื๊ดกับไอ้ปอนด์ต่อยกันเพราะความคิดเห็นแตกต่าง.. พรรคการเมืองทะเลาะกันเพราะนโยบายแตกต่าง.. สงครามศาสนาเกิดขึ้นเพราะความเชื่อแตกต่าง.. บางคนทะเลาะกันด้วยเหตุผลน่าขบขันปัญญาอ่อนกว่านั้นด้วยซ้ำ...แค่สีผิวแตกต่าง... ส่วนคนใจร้ายใจทมิฬวางระเบิดสังหารผู้บริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่ภาคใต้ ใช้ความแตกต่างเป็นข้ออ้าง เพราะต้องการแตกแยก หลายครั้งที่ ผมรู้สึกหดหู่ในความใจแคบของมนุษย์.....

หากย้อนกลับไปดูเรื่องราวของมนุษย์เรา แท้จริงแล้วความเจริญทุกวันนี้ก็เพราะความแตกต่างไม่ใช่หรือ หากพี่น้องตระกูลไร้ท์ ไม่คิดต่างไปว่าคนเราสามารถบินได้ทุกวันนี้เราอาจต้องขี่ควายไปเจราจาธุกิจที่ฮ่องกง..หากโทมัส เอดิสันไม่คิดต่างไปว่ามนุษย์ก็สร้างแสงสว่างได้โดยไม่ต้องง้อดวงอาทิตย์หรือไม้ขีดไฟ เราคงต้องไป RCA พร้อมถือตะเกียงคู่กายคนละดวง..หากอเล็กซานเดอร์ เกรแฮมเบลล์ไม่คิดต่างว่า เสียงสามารถแปรรูปเป็นคลื่นและส่งผ่านอากาศได้ด้วยเครื่องรับส่งที่ชื่อโทรศัพท์ วันนี้ผมอาจรวยกว่าคุณพานทองแท้ และคุณโอ๊คอาจยังต้องช่วยเตี่ยขายโอเลี้ยงหน้าบ้าน เหมือนที่พี่แม้วเคยทำ....


คิดให้ไกลกว่านั้น บางทีเราควรยกมือขอบคุณเจ้าจ๋อเจี๊ยกตัวเหม็นในกรงทุกครั้งที่เราไปสวนสัตว์ด้วยซ้ำ ที่บรรพบุรุษของพวกมันตัวหนึ่ง เกิดคิดต่างจากตัวอื่นว่า อยู่บนต้นไม้มันเมื่อยโว้ย ลงมาเดินบนพื้นดินดีกว่า..!!

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง พูดถึงวิธีคิดไว้อย่างน่าสนใจ วิธีคิดอย่างสร้างสรรค์นั้น มีหลักการง่ายๆด้วยการคิดแบบ “2 ต”… นั่นคือ “คิดต่อ” กับ “คิดแตก” หากความคิดผู้อื่นนั้นเราเห็นด้วย ก็นำมา “คิดต่อ” ให้ยาวไปจากเดิม ให้มัน มีประโยชน์มากมายกว่าเดิม นำมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ส่วนในทางตรงข้าม หากความคิดของคนอื่นที่เราไม่เห็นด้วยนัก ก็ลอง “คิดแตก” แตกกิ่งก้านสาขาออกไปซิว่า เออ มันพอจะมีหนทางไหนที่ดีกว่าไหมหนอ มันอาจจะไปเจอทางแยกเส้นใหม่ที่เข้าท่าเข้าทีไม่น้อย........ถ้าคนเรามีวิธีคิดแบบนี้ โลกคงน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ น่าเสียดาย ที่คนส่วนมากมัก เพิ่ม “ต” ที่ 3 เข้ามาซะอย่างนั้น เห็นด้วยไหมไม่รู้ รู้แต่ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี ไม่คิดต่อ ไม่คิดแตก แต่ขอ “คิดต้าน” ไว้ก่อน ......


จริงอยู่ครับ ที่โลกนี้มีคนหลายประเภท และบางประเภทก็ เข้าใจในภาษาหมัดและเท้าได้เร็วกว่า สื่อสารด้วยลายสือไทย แต่กระนั้นก็ขอให้ใจเย็นไว้เท่าที่ทำได้..... วันก่อนเปิดทีวี ได้ยิน คุณครู แอน นันทนา บุญหลง พูดไว้อย่างน่ารักน่าฟังน่าคิดว่า..“ถ้าเราทะเลาะกัน 60 นาที มันไม่ใช่ว่า เรามีเวลา 60 นาที เพื่อเอาแพ้ชนะกัน.........แต่มันหมายถึง เราเสียเวลาที่จะมีความสุขร่วมกัน ไป 60 นาที ต่างหาก”…… น่าเสียดายนะครับ...


พอจำได้ไหมครับว่าบ่อยแค่ไหนที่เราถกเถียงกันจนเลยเถิด ทะเลาะเป็นเรื่องราวใหญ่โตกับคนรอบข้าง แล้วก็มาเสียใจเสียดายภายหลัง
ทั้งที่บางครั้งสาเหตุมาจากแค่ความแตกต่างเล็กๆ ของแต่ละคนเท่านั้นเอง ถ้าจะถามว่ากี่ครั้งแล้วก็คงจะยากเกินไป …..


แต่ถ้าถามว่า ตั้งใจจะให้อีกนานแค่ไหน ที่เราจะทะเลาะกับคนอื่นครั้งต่อไป ... ผมเชื่อว่าคงไม่ยากเกินไปที่จะตอบใช่ไหมครับ....


.........โดยส่วนตัว ...แล้ว ชอบ บทความนี้แหะ.......


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์