ประสบการณ์ แก้วมณีนพรัตน์ หรือแก้วสารพัดนึก

แก้วมณีนพรัตน์(แก้วจักรพรรดิ์)แก้วมณีนพรัตน์(แก้วจักรพรรดิ์)

ประสบการณ์ แก้วมณีนพรัตน์ หรือแก้วสารพัดนึก

ผมเป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี ครอบครัวค่อนข้างยากจน มีโอกาสเรียนแค่ประถม 6 ก็ต้องออกจากโรงเรียน โดยเหตุผลว่าเรียนต่อ ม.1 ค่าเทอมและค่าเสื้อผ้ารวมกันแล้วเกือบพันบาท ผมยังจำได้ดีตอนนั้นแม่ผมกอดผมไว้ และบอกว่า "ลูก เรามันจนอย่าเรียนต่อเลยนะลูก" ผมได้ยินแม่พูดถึงกับน้ำตาร่วงอย่างไม่รู้ตัวเพราะสงสารแม่มาก เมื่อวานผมเห็นแม่ไปขอเชื่อข้าวสารร้านข้างบ้านมา 1 กิโล ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่า จะไปหางานทำเพื่อหาเงินมาให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่ลำบากแบบนี้ ผมออกจากโรงเรียนและไปเป็นลูกจ้างล้างจานที่ร้านข้าวแกงมีหน้าที่ยกข้าวแกงไปให้ลูกค้า พอว่างก็ต้องไปล้างจาน ค่าตัววันละยี่สิบบาท ผมทำอยู่นานเจ้าของร้านแกเป็นคนใจบุญ บอกว่าผมขยันและอดทนดี จึงขึ้นเงินให้เป็นวันละห้าสิบบาท ตามปกติเจ้าของร้านที่ผมอยู่ ถ้าวันไหนหยุดแกก็จะไปทำบุญตามวัดต่าง ๆ อยู่เสมอ มีอยู่วันหนึ่งขายดีมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพียงครึ่งวันก็ขายหมด พอเก็บร้านเสร็จ เจ้าของร้านก้บอกว่า วันนี้ขายดีเลิกเร็วไม่รู้จะไปไหน ไปกราบหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแกดีกว่า แกเลยชวนผมไปด้วย ผมว่างไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ก็เลยไปกับเขาด้วย

ไปถึงวัดสะแกประมาณสามโมงเย็น มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อดู่ นั่งอยู่กับท่านสองคน เจ้าของร้านเข้าไปถึงก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ผมก็กราบตาม เจ้าของร้านพูดทักทายลูกศิษย์ที่อยู่ก่อนแล้วอย่างคุ้นเคย แสดงว่ารู้จักกันมานานแล้ว หลวงพ่อท่านท่าทางเมตตามากท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดี และส่งถ้วยที่มีน้ำชาให้ผมและเจ้าของร้าน ท่านมองผมด้วยความเมตตา ผมขนลุกขึ้นไปถึงหัวไม่รู้เพราะอะไร ท่านบอกผมวา "กินซะน้ำมนต์" ผมก็ยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย พอกินหมดวางถ้วยลงกับพื้น ผมรู้สึกสว่างไปทั่ว ตัวเบา ตาดูมองอะไรก็สว่างใสไปหมด ทั้งหูก็ได้ยินชัดเจนขึ้นมากกว่ที่เคยเป็นมา จึงนึกไปว่าเราไม่เคยกินน้ำชาบ่อยนักพอมากินเข้าร่างกายถึงสดชื่น เจ้าของร้านคุยกับหลวงพ่อดู่นานมากจนเย็น วันนั้นเขาเช่าพระองค์ละหนึ่งร้อยบ้างสิบบาทยี่สิบบาทก็หลายองค์แหวนวงละสามร้อยบาทถึงห้าองค์ หลวงพ่อดู่บอกเขาว่าเอาเงินไปใส่ตู้ทำบุญไว้ ไม่ต้องเอาให้ท่าน วันนั้นผมไม่ได้พูดกับหลวงพ่อเลยสักคำ เจ้าของร้านเห็นว่าเย็นมากแล้วจึงลาหลวงพ่อกลับ เขากราบท่านผมจึงกราบตามแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่รถ ผมก็ลุกขึ้นจะเดินตาม เสียงหลวงพ่อพูดว่า "เดี๋ยวก่อนมานี่" ผมหันไปตามเสียง เห็นท่านยิ้มอย่างเมตตา จึงเข้าไปหาท่านใกล้ ๆ ท่านหยิบลูกกลม ๆ เล็ก ๆ สีขาวอมเหลืองให้ผมหนึ่งเม็ด และท่านก็พูดว่า "เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่ อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตายแล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี" ผมมองดูเม็ดกลม ๆ เล็ก ๆ ที่ท่านให้ก็ไม่เห็นมีพระอะไร อย่างที่ท่านบอกเลยสักองค์ท่านคงเห็นผมทำท่าแปลกใจ เลยพูดว่า "แกไปได้แล้ว" ผมรีบกราบท่านอีกครั้งแล้วรีบวิ่งไปที่รถเพรากลัวเจ้าของร้านจะรอนาน ผมขึ้นรถเจ้าของร้านก็ถามว่า "หลวงพ่อท่านเรียกทำไม" ผมบอกเขาว่า "ท่านให้เม็ดกลม ๆ ผมครับ" เจ้าของร้านหันมามองดูสิ่งที่อยู่ในมือของผมแล้วพูดเฮ้ยนี่ของดีหายาก "พี่มาหาหลวงพ่อหลายครั้งแล้วยังไม่เคยได้เลย เก็บไว้ให้ดีนะโว้ย" ผมรับคำว่า "ครับพี่" หลังจากนั้นนานสักสิบกว่าวัน เจ้าของร้านก็ไปหาหลวงพ่อดู่อีก แต่ผมไม่ได้ไปกับเขาด้วย พอเขากลับมาวันรุ่งขึ้นก็บอกผมว่าหลวงพ่อท่านฝากของดีมาให้ผม แกส่งกระดาษให้ผมใบหนึ่ง พอผมเปิดดูในนั้นมีหนังสือเขียนว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ให้ภาวนามาก ๆ ผมนึกกราบท่านในใจผมเป็นเด็กจน ๆ คนหนี่ง คิดว่าท่านคงลืมผมไปนานแล้ว แต่นี่ท่านยังเมตตาจำผมได้ และเมตตาให้คำภาวนามาด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยไปกราบพระที่ไหน พอมาเจอแบบนี้ทำให้ผมเกิดความศรัทธา หลวงพ่อดู่เป็นอย่างมาก ด้วยความศรัทธาท่านผมจึงภาวนา ไตรสรณคมณ์เรื่อยมา ผมไปไหนต้องมีลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อท่านให้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา

ระยะหลังแม่ของผมเริ่มเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งไปทำงานไม่ไหว ผมจึงขอเจ้าของร้านหยุดงานเพื่อพาแม่ไปหาหมอ ผลออกมาว่าแม่ของผมเป็นเบาหวานความดัน ไขมันในเส้นเลือด และอย่างอื่นด้วย ยาแต่ละอย่างแพงมาก ผมไม่มีเงินซื้อยาดี ๆ ทางโรงพยาบาลจึงให้ตัวที่ถูก ๆ คือยาที่ไม่มีมาตรฐาน ผมเสียใจที่ตนเองไม่มีปัญญารักษาแม่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำยังไงถึงจะมีเงินซื้อยาดี ๆ ให้แม่ ก่อนออกจากบ้านเช้ามืดของทุกวันผมจะยกลูกกลม ๆ ที่แขวนอยู่ในคอขึ้นมาพนมและภาวนาไตรสรณคมณ์ทุกวัน เช้านี้ไม่เหมือนกับทุกเช้า พอผมภาวนาไตรสรณคมณ์จบก็อธิษฐานว่า "หลวงพ่อดู่ครับ ผมขอเงินมาซื้อยารักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ" และก็ออกไปทำงานตามปกติ ตอนสาย ๆ ของวันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ผมพอจำได้ว่านาน ๆ หลาย ๆ เดือนจะมากินข้าวแกงสักครั้ง ก็มานั่งกินอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ทันสังเกตุ ผมจึงตักน้ำแข็งใส่แก้วและเดินไปให้เขาตามปกติเหมือนทุกครั้ง พอเขาเห็นผมก็พูดว่า "มาทีไรเจอทุกครั้งเลยขยันจังนะ" ผมยิ้มรับในคำทักทายของเขา แล้วพูดว่า "ถ้าไม่มาทำงานเดี๋ยวไม่มีข้าวกินครับ" เขาก็พูดว่า "เออพูดตรงดี พี่ชอบว่ะ แบบนี้ไปทำงานกับพี่ไหม" ผมถามเขาว่า "งานอะไรครับ" เขาบอกว่า "งานอยู่เรือดูดแร่ เงินดีนะน้อง" ผมถามต่อว่า "ดีของพี่ได้เดือนละเท่าไหร่ครับ" เขาตอบทันทีว่า "เป็นหมื่น" พอได้ยินคำว่าเป็นหมื่น ผมถึงกับตาโตเลยทีเดียว ผมเริ่มสนใจมาก ถามต่อว่า "ไปทำที่ไหนพี่" ชายผู้นั้นบอกว่า "จังหวัดภูเก็ต" ผมทวนคำพูดว่าภูเก็ต และนึกว่าแม่กำลังไม่สบายจะทิ้งแม่ไปได้อย่างไร แต่ถ้าได้ไปก็จะมีเงินมาซื้อยาดี ๆ รักษาแม่ ชายผู้นั้นคงเห็นผมยืนคิดอยู่นาน ชายผู้นั้นจึงพูดขึ้นว่า "อาทิตย์หน้าพี่ถึงจะไปภูเก็ตอีกสองสามวันจะมากินข้าวใหม่ น้องลองกลับไปคิดดูแล้วค่อยบอกพี่" แล้วเขาก็เดินออกจากร้านไป ผมมองดูชายคนนั้นเดินจากไปจนลับสายตา

เย็นนั้นผมกลับถึงบ้านก็นึกถึงแต่เรื่องอยากไปทำงานที่ภูเก็ต คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน วันต่อมาผมกำลังเอายาให้แม่กิน แม่คงสังเกตเห็นผมผิดปกติเลยถามว่า "ไปมีเรื่องอะไรกับเขาหรือเปล่า เป็นอะไรแปลก ๆ ไป" ผมจึงเล่าให้แม่ฟังทั้งหมด แม่ก็พูดว่า "เรื่องแค่นี้เอง ลูกอยากไปไหมล่ะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอกแม่อยู่ได้" ผมบอกแม่ว่า "อยากรักษาแม่ให้หาย ถ้าผมมีเงินก็จะได้ไปซื้อยาทีดี ๆ มาให้แม่กินครับ" แม่บอกว่า "ตามใจแกถ้าอยากไปทำงานแม่ก็ตามใจ" แม่กอดผมและพูดขึ้นว่า "แม่รักลูกนะ" ผมน้ำตาไหลและกอดแม่แน่นบอกว่า "ผมก็รักแม่ครับ" และเราสองคนก็ร้องไห้

วันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามแบบทุกวัน พอตอนเย็นเลิกร้านแล้ว ผมก็เข้าไปหาเจ้าของร้านบอกว่าผมขอลาออก เขาท่าทางตกใจ พูดว่า "อยู่กันมาตั้งนานไม่สบายใจมีอะไรบอกพี่ได้นะ" ผมจึงเล่าเรื่องแม่ไม่สบายผมอยากได้เงินไปรักษาแม่ ให้เจ้าของร้านฟังจนหมด เขาพูดเสียงดังว่า "ให้มันได้อย่างนี้ เองทำถูกแล้วละ จะไปเมื่อไหร่" ผมตอบว่า "อีกสองสามวันครับ" เขาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควักเงินออกมานับ น่าจะเป็นสองถึงสามหมื่นแล้วส่งให้ผม บอกว่า "เอาไป พี่ให้" ผมงงบอกกับเจ้าของร้านว่า "ผมไม่รบกวนยืมเงินพี่หรอกครับ ถ้าเอาไปคงไม่มีปัญญามีเงินมาใช้คืนพี่" "เอ็งกับพี่นับถือหลวงพ่อองค์เดียวกัน เท่ากับเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ต้องช่วยเหลือกันถึงจะถูก เงินนี้พี่ไม่ได้ให้ยืมแต่พี่ช่วยโดยไม่ต้องเอามาคืน" ผมเกรงใจเจ้าของร้านมากเขาเป็นคนใจบุญ มีเมตตาและยังมีน้ำใจต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอีก ผมก้มลงกราบเขาเพราะไม่มีอะไรจะตอบแทนความดีของเขา และนึกในใจว่าขอให้พี่จงเจริญ ๆ วันต่อมาชายผู้นั้นก็มากินข้าวแกง พอเขาเห็นผมก็ถามว่า "คิดได้หรือยัง" ผมตอบว่า "ไปครับ" เขาพูดว่า "เออดีไม่เสียแรงที่ชวน" ผมนัดกับเขาถึงวันที่จะออกเดินทาง เมื่อรู้วันเดินทางแล้ว ผมก็ไปบอกกับแม่และให้เงินแม่เก็บไว้หาหมอรักษาตัวระหว่งที่ผมไปทำงานผมบอกแม่ว่า "ได้เงินเดือนเมื่อไหร่ผมจะรีบส่งมาให้แม่ทุกเดือน" ผมนำเงินติดตัวไปแค่หนึ่งพันบาทเป็นค่ารถ และในที่สุดผมได้ไปขุดทองที่ภูเก็ตเหมือนกับเวลาที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันสมัยก่อนว่า ใครไปทำงานขุดพลอยเมืองจันทบุรี หรือไปทำแร่ภาคใต้เท่ากับไปขุดทอง แต่สิ่งที่มีคุณอนันต์ตรงกันข้ามก็จะมีโทษมหันต์เหมือนกัน ไปร่ำรวยกันมาก็มากพากันไปตายมาก็เยอะผมนั่งรถไป ใจก็คิดว่าเราจะไปแล้วรวยหรือไปตายก็ยังไม่รู้ คิดไปคิดมายิ่งสับสน ผมจึงคิดว่าตายเป็นตาย ผมต้องหาเงินรักษาแม่ให้ได้ มือก็กำลูกกลม ๆ ของหลวงพ่อดู่และอธิษฐานว่า "เรือลำไหนที่ดีเจ้าของเป็นคนดีมีเมตตาอยู่แล้วจะมีเงินมาก หรือร่ำรวยขอให้ผมได้ไปอยู่กับผู้นั้นด้วยเถิดสาธุ" และผมก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่นเป็นท่าเรือใหญ่ผู้คนมองดูพลุกพล่านคุยกันเสียงดังอย่างไม่มีใครเกรงใจกันบางกลุ่มก็คุยภาษาอีสานบางพวกก็พูดใต้ มีคนส่วนน้อยที่พูดภาษาภาคกลาง ที่นี่มีคนจากหลายจังหวัดหลายพ่อหลายแม่น้อยคนที่จะมองดูแล้วบอกได้ว่าเป็นคนสุภาพแทบจะหาไม่เจอเลยทีเดียว ส่วนมากจะท่าทางนักเลง บางคนก็ตัวดำยังไม่พอแถมยังสักยันต์เต็มตัว มองดูแล้วไม่น่าไว้ใจ หรือที่เขาเรียกกันว่าน่ากลัว ผมเดินตามพี่คนที่พาผมไปทำงาน เขาบอกว่าตัวเราชื่อโก๋ พี่โก๋ เดินนำหน้า ผมเดินตามเดินผ่านวงเหล้าที่นั่งกินกันเป็นกลุ่ม ๆ บางคนหันมาเห็นพี่โก๋ก็ร้องทักว่า "เฮ้ยมากินเหล้าด้วยกันโว้ยไอ้โก๋" พี่โก๋ก็จะตอบว่า "พวกมึงกินกันเถอะ วันนี้กูยังไม่อยากเมา" พอมาถึงที่พักซึ่งเป็นเหมือนห้องแถวประมาณสิบกว่าห้อง ตรงกลางมีลานกว้างประมาณ 7-8 เมตร มีโต๊ะหินสองตัวต่อกันคนนั่งได้สักสิบกว่าคนสบายมาก ที่ตรงนั้นมีผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งกินเหล้ากันอยู่พอเห็นผมกับพี่โก๋ ก็ร้องทักว่า "พี่โก๋พาใครมาด้วยละ" พี่โก๋บอกว่า "น้องชายมันชื่อตั้ม" ในกลุ่มนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางคงเมามากแล้วพูดว่า "หน้ามันอ่อนอย่างนี้มึงจะพามันเล่นลิเกหรือว่ะไอ้โก๋" "กูจะพามันมาทำงานกับนายเค้า ไม่ได้มาเล่นลิเกแบบมึงว่าหรอก" เสียงชายคนเก่าพูดว่า "ไอ้โก๋มึงยังกวนตีนเหมือนเดิมนะไม่ได้เห็นหน้ากันเสียหลายวัน" พี่โก๋พูด "กูยังเหมือนเดิม" แล้วแกก็พาผมไปพักห้องเดียวกับแก "มึงอยู่กับพี่ที่นี่แหละพี่อยู่คนเดียว ห้องมันใหญ่ไปจะได้มีเพื่อนคุยถ้ามึงไปอยู่คนเดียวไอ้พวกเหี้ยมันเยอะ เดี๋ยวไม่มีคนดูแลจะเกิดเรื่อง"

แก้วมณีนพรัตน์(แก้วจักรพรรดิ์)แก้วมณีนพรัตน์(แก้วจักรพรรดิ์)


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์