การทดสอบขั้นแรกนาตาชาสามารถผ่านมันไปได้อย่างดี เพราะเธอสามารถตรวจอาการผู้ป่วย 6 คนได้เหมือนกับตอนที่อยู่ในซารันสค์ จนทำให้ชาวนิวยอร์ก 5 จาก 6 คนประทับใจในการวินิจฉัยโรคของเธอ แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีข้อขัดแย้ง
ริชาร์ด ไลส์แมน กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจก็คือก่อนที่เราจะให้นาตาชาดูอาการของพวกเขา พวกเขาได้บอกอาการผิดปกติที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่นาตาชามองเห็นระหว่างที่เธอตรวจ เธอบอกความผิดปกติของคนเหล่านี้ถูกเพียงแค่ 1 คน ส่วนคนอื่นเธอไม่ได้บอกเลยว่าเขาผิดปกติตรงไหน แต่พวกเขาก็ยังประทับใจ ผมสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องทางจิตวิทยา และมีคำอธิบายในเชิงจิตวิทยา
ความไม่เชื่อนั้นทำให้นาตาชาต้องเข้าทดสอบในขั้นตอนต่อไป ท่ามกลางความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ที่ว่า นาตาชาไม่ได้มีสายตาเอกซเรย์จริง แต่ได้รับข้อมูลมาจากสิ่งที่ผู้ป่วยพูดและตอบสนองเธอต่างหาก ดังนั้นการทดสอบขั้นที่สองนาตาชาจึงไม่มีแม้โอกาสจะพูดคุยกับคนไข้ เธอทำได้เพียงการนั่งมองเขานิ่ง ๆ ที่เก้าอี้เท่านั้น โดยจำกัดให้นาตาชาวินิจฉัยอาการเพียง 1 อย่างต่อผู้ป่วย 1 คน
คน 7 คนที่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นคนปกติถูกต้อนเข้าไปในห้องทำการทดสอบ โดยนาตาชารู้ว่ามีโรคอะไรที่คนเหล่านั้นเป็นบ้าง เธอเพียงทำหน้าที่ระบุโรคให้ตรงกับแต่ละคนเท่านั้น โดยหากนาตาชาสามารถทายถูก 5 ใน 7 พวกเขาก็จะยอมรับพลังพิเศษของเธอ
แต่ดูเหมือนว่าพลังพิเศษจะไม่ช่วยให้นาตาชาไปตลอดรอดฝั่ง เพราะเธอทายถูกเพียง 4 จากทั้งหมด 7 คน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงทีเดียว แต่นั่นไม่ใช่จำนวนที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องการ โดยเฉพาะกรณีที่ว่านาตาชาไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนคือคนที่มีแผ่นโลหะอยู่ในศีรษะ
CSICOP สรุปว่าความสามารถพิเศษของนาตาชาที่จริงเป็นเพียงพลังของการโน้มน้าวใจ แต่สำหรับผู้คนในซารันสค์และรัสเซียที่รู้เรื่องการรักษาของเธอ พวกเขายังเชื่อมั่นในความสามารถพิเศษที่ว่า
ผลการทดสอบอาจไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของนาตาชา แต่สิ่งที่เข้ามาทำให้ชีวิตเธอพลิกผันก็คือ การตอบรับเธอเข้าศึกษาในวิทยาลัยการแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงมอสโก การพลิกผันที่มาจากการแสวงหาโอกาสนั้นด้วยตัวเธอเองกับการได้รับเหรียญทองสำหรับคะแนนดีเด่นของมอร์โดเวีย
Credit : นสพ.เดลินิวส์ และ http://artsmen.net