มันน่าสนใจที่ว่าครั้งหนึ่งโลกเคยถูกช่วยไว้ด้วยบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เราไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นใคร ช่วยเหลือโลกยังไง หลายคนแทบหลงลืมด้วยซ้ำ โชคดีที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้หลงลืมพวกเขา และได้บันทึกเรื่องราวของพวกเขาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ในฐานชายและหญิงที่ช่วยชีวิตคนนับล้าน(รวมทั้งคุณ)โดยไม่รู้ตัว
● 6 คนดีที่ช่วยเหลือโลกโดยเราไม่รู้ตัว ●
6. Vasili Alexandrovich Arkhipov(30 มกราคม 1926-1999)
คุณรู้หรือไม่ว่าหากโลกปราศจากบุคคลนี้ สงครามโลกครั้งที่ 3ในช่วงสงครามเย็นระหว่างสหรัฐและโซเวียตได้เกิดขึ้นแน่ เรื่องของเรื่องมาอยู่ว่าในวันที่ 27 ตุลาคม 1962 ซึ่งช่วงวิกฤตขีปนาวุธคิวบาซึ่งเป็นช่วงอ่อนไหวมากๆ ที่จะเสี่ยงเกิดสงครามโลกอยู่นั้น เรือดำน้ำขีปนาวุธลาดชั้น Foxtrot B-59 ของโซเวียตที่ปฏิบัติการอยู่ที่คิวบากำลังฝึกซ้อมการทำงานอยู่นั้น เรือได้ถูกล้อมโดยเรือของกองทัพสหรัฐฯ และถูกโจมตีโดยระเบิดน้ำลึกอย่างหนักหน่วง จนกระทั้งกัปตันเรือของโซเวียตลงความเห็นว่าควรยิงตอร์ปิโตติดหัวเรือนิวเคลียร์ไปที่สหรัฐ ฯ เพื่อตอบโต้ ซึ่งหากทำแบบนี้เท่ากับว่าสงครามโซเวียตและสหรัฐนั้นเกิดขึ้นแน่นอน
แต่กระนั้นตามกฎจะยิงตอร์ปิโตนั้นจำเป็นต้องอาศัยการโหวดเจ้าหน้าที่สามคนที่ประจำเรือ ซึ่งในกลุ่มนั้นมีเพียงพระเอกของเราคือวาซิลิ อเล็กซานเดอร์ อาร์คิปอพ เท่านั้นที่คัดค้านการยิงและเกลี้ยกล่อมให้กัปตันนำเรือดำน้ำขึ้นเหนือผิวน้ำเพื่อรอคำสั่งจากมอสโคว์ ซึ่งเขาก็ทำได้สำเร็จ ส่งผลทำให้สงครามนิวเคลียร์ไม่เกิด โลกพ้นหายนะได้อีกครั้ง
5. James Harrison, GoldenArm
เจมส์ แฮร์ริสันได้รับฉายาว่า “GoldenArm” หรือแขนทองคำ เป็นนักบริจาคเลือด ชาวออสเตรเลีย เขาได้รับบันทึกสถิตโลกว่าเป็นบุคคลบริจาคโลกที่ช่วยทารกกว่าสองล้านของจากโรครีซัส (Rhesus disease = โรคที่เกิดจากกลุ่มเลือด Rh ไม่เข้ากัน)
4.Viktor เกิด1928-ปัจจุบัน)
นอกจากสงครามก่อการร้ายที่โลกสมัยใหม่ต้องเผชิญแล้ว สงครามระหว่างมนุษย์และเชื้อโรคก็ถือว่าเป็นสงครามที่เกิดขึ้นมาช้านานและไม่มีวันจบ โลกต้องเผชิญเชื้อโรคระบาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกาฬโรค เอดส์ โรคพิษสุนัขบ้า และในช่วงเวลาเหล่านี้ย่อมเกิดวีรบุรุษขึ้น อย่างหลุยส์ ปาสเตอร์ แต่ใครจะรู้บ้างว่ายังมีบุคคลสองคนที่ครั้งหนึ่งได้ช่วยโลกไว้จากเชื้อโรคสุดอันตรายเอาไว้
3. Henrietta Lacks(18 สิงหาคม 1920 – 4 ตุลาคม 1951)
เรื่องราวของเธอที่ได้กลายเป็นผู้ช่วยเหลือโลกโดยไม่รู้ตัวนั้น เริ่มต้นขึ้นในปี 1951 เมื่อ เฮนเรียตต้า หญิงชาวอเมริกันแอฟริกันอายุ 30 ปี ซึ่งมีฐานะยากจน อาศัยอยู่ใน บัลติมอร์ สหรัฐอเมริกาได้เข้ารับการรักษาในมะเร็งปากมดลูก ที่ รพ.จอห์น ฮอปกินส์ ในแผนก ผู้ป่วย(ผิวดำ)อนาถาหากแต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะโรคมะเร็งของเธอได้ลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เธอเสียชีวิตในเวลา 8เดือนต่อมา
แต่.....เรื่องราวของเฮนเรียตต้ายังไม่จบ เพราะเธอได้รับขนามนามว่า “อมตะ” เนื่องจากหลังจากที่เธอตายแพทย์ได้สังเกตว่าชิ้นส่วนเนื้อเยื่อเซลล์มะเร็งที่หลงเหลือระหว่างการผ่าตัดของเธอยังคงมีชีวิตอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มันยังคงดำเนินกิจกรรมภายในเซลล์อย่างปกติ เจริญเติบโตและแบ่งตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด—จวบจนเวลาปัจจุบัน…… เซลล์ของเธอถูกตั้งชื่อว่า “HeLa Cell” ซึ่งมาจากชื่อย่อของเธอ ต่อมาถูกเรียกว่า “เซลล์อมตะเซลล์แรกของโลก”โดยมีการคำนวณอย่างคร่าวๆว่า เซลล์ของเธอที่เพาะขึ้นใหม่ ได้มีจำนวนมากกว่าจำนวนของเซลล์ในร่างกายของเธอเองเสียอีก และอาจจะเอามาแผ่คลุมโลกได้ทั้งใบอีกด้วย
ในสมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายการยินยอมอย่างเป็นทางการจากผู้ป่วยที่เอาอวัยวะหลังเสียชีวิตไปทดลองหรือเพื่อก้าวหน้าในวงการแพทย์(หรืออาจมีแต่ไม่เข้มงวด) เซลล์ของเธอนั้นได้ถูกนำวิจัยเพื่อความก้าวกระโดดทางการแพทย์ โดยเซลล์ดังกล่าวเพราะในสถาวะแวดล้อมที่เหมาะสมและมีอาหารหล่อเลี้ยงเพียงพอเพื่อศึกษากระบวนการทางชีวิวิทยาของเซลล์มะเร็ง นำไปสู่การรักษามะเร็งในอนาคตข้างหน้า นอกจากนี้เซลล์ดังกล่าวถูกแบ่งไปให้นักวิจับทั่วโลก จนสามารถนำมาใช้ประโยชน์มากมาย เป็นต้นว่า รู้กลไกการเกิดเซลล์มะเร็ง กลไกติดเชื้อเอดส์ ผลของรังสีและสารพิษของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางชีวะวิทยา และวิทยาศาสตร์การแพทย์ เซลล์ของเธอยังมีส่วนในการพัฒนาวัคซีนโปลิโอ ซึ่งทำให้ช่วยคนทั่วโลกได้มหาศาล และที่สำคัญเซลล์ของเธอยังเป็นนำมาใช้เป็นแนวทางผลิตอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย
แต่อนิจจา(อีกแหละ) เฮนเรียตต้าไม่ได้เครดิตแม้แต่น้อยว่าเป็นเจ้าของเซลล์ ประเด็นดังกล่าวถูกนำมาพิจารณาครั้งหนึ่งในศาลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียและได้รับการตัดสินว่า “ชิ้นส่วนเนื้อเยื่อของบุคคลใดๆที่ถูกทิ้ง ไม่ถือเป็นสมบัติของผู้นั้นอีกต่อไป และสามารถถูกนำมาใช้ในเชิงการค้าได้” และในขณะที่เซลล์ของเธอได้สร้างคุณประโยชน์ต่อโลก และสร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัทยา แต่เชื่อหรือไม่ว่าลูกหลายของเจ้าของเซลล์นั้นต้องมีชีวิตแร้งแค้น และยากลำบาก ไม่ได้รับการศึกษา และสวัสดิการด้านสุขภาพที่ดีพอ และครอบครัวของเธอต้องทุกข์ใจแต่ละครั้งที่เซลล์ของเธอไม่ได้เครดิตมานานนับสามสิบปี ปัจจุบันลูกหลานของเธอได้เขียนคำจารึกในหลุมฝังศพของเธอไว้ว่า “เฮนเรียตต้า18 สิงหาคม 1920 – 4 ตุลาคม 1951 เซลล์ที่เป็นอมตะของเธอยังคงอยู่...และช่วยมนุษย์ตลอดไป ด้วยรักนิรันดร์และความยินดีจากครอบครัวของคุณ”
2. Henry Dunant(8 พฤษภาคม 1828- 30 ตุลาคม 1910)
นาย เป็นนักธุรกิจและนักกิจกรรมทางสังคมชาวสวิส และถ้าไม่มีเขาหน่วยงานกาชาดจะไม่เกิดขึ้นบนโลกเป็นแน่แท้
นายอังรี ดูนังต์ถือกำเนิดในครอบครัวที่มั่นคั่งมีอิทธิพลในเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หากแต่พ่อแม่ของเขานั้นสอนเขาอยู่เสมอถึงคุณค่าในงานรับใช้ช่วยเหลือสังคม ในขณะอายุ 18 เขาก็อุทิศให้กับงานสังคมสังเคราะห์ เมื่ออายุ 21 เขาถูกบังคับออกจากมหาลัยเพราะทำเกรดไม่ดี ต่อมาเขาก็ไปฝึกงานกับบริษัททางการเงินและประสบผลสำเร็จในอาชีพ ต่อมาเขาในปี 1856 เขาก็เดินทางเพื่อไปดูงานในแอฟริกาเหนือ พอดีในเวลานั้น เขาได้ผ่านไปที่สมรภูมิซอลเฟริ โน ประเทศอิตาลี เขาเห็นทหารบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากโดยไม่มีผู้รักษาพยาบาล ภาพอันสยดสยองนี้ทำให้ดูนังต์อดได้ลงมือช่วยเหลือผู้บาดเจ็บด้วยตนเอง แล้วขอร้องประชาชนหญิงในท้องถิ่นนั้นมาช่วยด้วย
จากประสบการณฺนี้เอง ดูนังต์ได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งเมื่อ 3 ปีต่อมา ให้ชื่อว่า "Un Souvenir de Solferino" (A Memory of Solferino) แปลว่า "ความทรงจำเรื่องที่ซอลเฟริโน" และกล่าวตอนหนึ่งเป็นเชิงรำพึงว่า "จะเป็นไปไม่ได้หรือที่จะตั้งองค์การอาสาสมัคร ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือทหารบาดเจ็บในยามสงคราม" ในที่สุดได้มีผู้เสนอความคิดของดูนังต์จัดตั้งเป็น คณะกรรมการระหว่างประเทศเพื่อบรรเทาทุกข์ทหารบาดเจ็บ ” (International Committee for the Relief of Wounded Combatants) เมื่อวันที่ 17กุมภาพันธ์ 1863 ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น "สภากาชาดสากล” (International Commitee of the Red Cross) และเจริญเป็นปึกแผ่นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
1. Norman Borlaug(25 มีนาคม ค.ศ. 1914 - 12 กันยายน ค.ศ. 2009)
นอร์แมน เออร์เนสต์ บอร์ล็อก นักวิชาการการเกษตรชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเวิลด์ฟู้ดไพรส์ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการปฏิวัติสีเขียว" และ “ผู้ช่วยชีวิตผู้คนมากกว่าใครในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” โดยเขาได้เปลี่ยนโฉมการเกษตรที่สมัยก่อนปลูกพออยู่พอกินนำไปสู่การเพาะปลูกที่ได้ผลผลิตสูง รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมเพิ่มผลผลิตอาหารสองเท่า ช่วยให้หลายประเทศหลีกเลี่ยงกลียุคที่เกิดจากความอดอยาก ในช่วงทศวรรษ 1960
นอร์แมนเกิดเมื่อ 25 มีนาคม ค.ศ. 1914 ในฟาร์มแห่งหนึ่งในไอโอวา เรียหนังสือถึงเกรด 8 ที่บ้าน และเรียนวนศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมินเนโซตา และได้เรียนต่อในปริญญาเอกสาขาโรคพืช ต่อมาเขาก็ทำงานกับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์(มูลนิธิที่มุ่งเน้นเรื่อง พื้นฐานการอยู่รอด เช่น อาหาร น้ำและที่อยู่อาศัย) โดยเขาเริ่มงานในเม็กซิโกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตอนนั้นประเทศเม็กซิโก ซึ่งถูกลำดับว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาน้อยซ้ำยังต้องนำเข้าอาหารอย่างมากมายจากสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุนี้ นอร์แมน หนึ่งในคณะผู้วิจัยได้พัฒนาในฐานะที่เป็นผู้นำการคิดค้น และนำเสนอเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตอาหารจากการเกษตร พัฒนาพันธุ์ข้าวสาลีหลากหลายสายพันธุ์ ที่มีความต้านทานโรค และทำให้ผลผลิตมากกว่าสายพันธุ์เดิม จนได้พันธุ์ข้าวสาลีพันธุ์ต้นเตี้ยที่ให้ผลผลิตส่งผลทำให้ช่วง 15 ปีให้หลัง ผลผลิตของข้าวสาลีในเม็กซิโก เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
นอกจากนี้นอร์แมนยังพัฒนาพันธุ์ข้าวและข้าวโพดที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ในเอเชียตะวันออกกลาง อเมริกใต้และแอฟริกา โดยมี อินเดีย และปากีสถาน ที่ได้ประโยชน์จากพันธุ์ใหม่มากที่สุด จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่า ซึ่งความสำเร็จของเขาทำให้แก้ปัญหาการประมาณการว่าผู้เชี่ยวชาญระบุว่าโลกจะอยู่สภาวะอดอยากเนื่องจากประชากรโลกสูงขึ้นได้ประมาณการนอร์แมน ว่าสามารถช่วยเหลือประชากรโลกจากความอดอยากได้มากกว่าพันล้านคน และช่วยชีวิตคนได้มากกว่า 245 ล้านคน ด้วยผลงานของเขาทำให้เขาได้พลเรือนเกียรติศักดิ์จากประเทศอินเดีย ทำให้เม็กซิโกส่งออกข้าวสาลีมากยิ่งขึ้น นั่นเองที่ทำให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์การเกษตรคนเดียวของโลกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
นอร์แมน เออร์เนสต์ บอร์ล็อก เสียชีวิตที่บ้านพักในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัสเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2009ด้วยภาวะแทรกซ้อนจากโรคมะเร็ง ขณะอายุ 95 ปี