เชิญ ป่อดมาดูว่าแขกถ้ามันแดกหมูแล้วอัปปรีแค่ไหน

ป้อดแขกอุบาดตัวแดกหมู แดกหมูวันๆจนอาจิณ

สาเหตุที่มุสลิมไม่กินหมู : ศรัทธานำหน้าเหตุผล
     บัดนี้-เราได้ทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า “ศรัทธา”คือ สาเหตุที่แท้จริงของการที่มุสลิมไม่บริโภคหมู ส่วนเหตุผลนั้นเป็นเพียงสิ่งสนับสนุน-ยืนยันการศรัทธาของมุสลิมเท่านั้นว่า หาใช่เป็นเรื่องของการโง่เขลางมงายแต่ประการใดไม่ หากแต่สิ่งที่อิสลามห้ามมุสลิมมิให้บริโภคสิ่งใดสิ่งนั้น ความจริงมีเหตุผลด้านพิษที่น่าหวั่นเกรงเสียนี่กระไร เมื่อ “ศรัทธา” เป็นสาเหตุหลักและ “เหตุผล” เป็นสิ่งรองทำหน้าที่สนับสนุนเช่นนี้ การกล่าวอ้างเพื่อชี้แจงด้วยทั้งสองสิ่งประการนี้จึงเป็นเรื่องที่ครบถ้วน มีน้ำหนักมากควรแก่การเชื้อถือ
     แต่สำหรับผู้ซึ่งผูกขาดสติปัญญาและเหตุผลของตนไว้กับความอวดดี-ดื้อรั้นของตนฝ่ายเดียวจะไม่ยอมเชื่อถือหรือเห็นคล้อยตาม นั้นก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ เพราะการนำสาเหตุและเหตุผลในเรื่องนี้มาแจกแจงนั้นก็ไม่ได้หวังผลมากมายขนาดนั้น เพียงแต่ต้องการคลายอาการหยามหยันด้วยความเข้าใจผิดๆ เพราะการทึกทักเข้าใจเอาเองของคนบางคนเท่านั้น หัวใจคับแคบเขาจะได้รับทราบเสียที การไม่กินหมูของมุสลิมนั้น ไม่ใช่เรื่องประหลาดหรือเบาปัญญาแต่อย่างใด แต่เต็มไปด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือ และมีเหตุผลมากมายจนเกินพอเสียอีกด้วยซ้ำไป
     นอกจากนั้น การที่มนุษย์เรามีสิ่งหนึ่ง-สิ่งใดบางอย่างคอยสกัดกั้นเสรีภาพอันเกินขอบเขตบ้างนั้นทำให้เกิดการระมัดระวัง ไม่กล้าทำ-กล้ากินอะไรตามอำเภออารมณ์จนกลายเป็นสำส่อน ในกรณีไม่กินหมูนี้ทำให้มุสลิมรู้จักการเลือกสรรอาหาร เกรงไปว่าจะเผลอไปพบกับอาหารที่ถูกห้ามกินเข้า ทำให้ปลอดภัยหลายกรณีและยังเป็นการช่วยในด้วนเศรษฐกิจไปในตัวอีกโสดหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มองเห็นยากเย็นอะไร ถ้าเรามองกันอย่างคนมีสติและไร้อคติ
     ในบทก่อนๆ ได้นำเหตุผลทางการแพทย์จากผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมมายืนยัน แม้ว่าจะเป็นการมากเกินพอแต่ก็ดูจะขาดตกบกพร่องไปบ้าง ถ้าไม่นำทัศนะและเหตุผลจากทางนายแพทย์ที่เป็นมุสลิมมาเสนอบ้างเพราะนอกจากจะเป็นเหตุผลที่น่ารับฟังแล้ว ยังเป็นน้ำหนักที่เป็นตามหลักศรัทธาของอิสลามอีกด้วย
นายแพทย์มุสลิมคนแรก คือ นายแพทย์มุหัมมัด ญะอ์ฟัรฺ M.B.B.S   M.R.C.S L.R.C.P.   D.T.M&H. แห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งได้รวบรวมหลักฐานจากการค้นคว้าในวงการแพทย์มารายงานถึงโรคภัยที่เกิดจากการบริโภคสุกรซึ่งมีด้วยกันทั้งสิ้น 14 รายการ ตามรายชื่อดังต่อไปนี้ คือ โรคบิด,Fosciolopsis Buski,โรคพยาธิปากขอ, โรคไส้เดือนตัวกลม, วัณโรค, โรคไส้เดือนตัวแบน, Endemic, Haemoptysis, Clonorchiasta, Gigantorhychus Gigas, MetaStronglusApris, Gastrodiseoides Hominis, SwineErysipelas, Variola Suilla, และTrichinella Spiralis ต่อไปนี้เป็นการตอบปัญหาของ “อับดุล-ฮาดี”ผู้รู้ท่านหนึ่งซึ่งทำหน้าที่อยู่ในวาสาร “อัล-ญิฮาด”
ท่านผู้นี้ได้ตอบข้อข้องใจในเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดดังต่อไปนี้
ถาม :
     การที่ศาสนาอิสลามห้ามรับประทานเนื้อสุกรนั้น ศาสนามีบทบัญญัติไว้อย่างไรบ้าง ? ขออธิบายให้ละเอียดด้วย ยังมีสัตว์ชนิดใดบ้างที่ห้ามรับประทาน เนื่องจากสัตว์เหล่านั้นมีลักษณะหรืออวัยวะพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามทางศาสนาใช่ไหม ? ขอให้เหตุผลทั้งศาสนาและทางการแพทย์ด้วย
ตอบ :
ก่อนตอบขอชี้แจงก่อนเล็กน้อยว่า มุสลิมในเมืองไทยมักเผชิญกับคำถามว่า “ทำไมมุสลิมไม่กินหมู ?” ทั้งนี้เพราะชาวไทยนิยมบริโภคสุกร เมื่อเห็นมุสลิมไม่บริโภคก็เกิดปัญหาขึ้นอันที่จริงอิสลามมิได้ห้ามกินเนื้อหมู หรือเนื้อสัตว์อื่นใดโดยเฉพาะ อิสลาม อนุญาตให้กินได้ทุกอย่าง กล่าวคือ อนุมัติให้กินได้ทุกอย่างที่ไม่เกิดโทษแก่ร่างกาย ที่ไม่ทำลายแต่ห้ามกินทุกอย่างที่ทำลายสุขภาพ
แม้กระทั่งข้าวปลาหรือเป็ดไก่ที่บริโภคเข้าไปจนเกินกระเพาะ เพราะกินเกินกระเพาะนั้นให้โทษแก่ร่างงกาย แทนที่จะให้คุณ ดังนั้น จุดมุ่งหมายของการห้ามเครื่องบริโภคต่างๆ ในศาสนาอิสลาม ก็เนื่องจากเหตุนี้ อิสลามเป็นระบอบของการดำเนินชีวิต มีบทว่าด้วยการรักษาสุขภาพอนามัยให้รักษาความสะอาดทั้งกาย วาจาและใจ มีบทว่าด้วยการปกครอง การสังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้ง กฎหมายอาญาและแพ่ง และอื่นๆที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มิได้ห้ามกินหมูที่คนส่วนใหญ่มักตั้งคำถามขึ้นเป็นเรื่องสำคัญ อิสลามได้บัญญัติห้าม และให้เหตุผลเกี่ยวกับเครื่องบริโภคจาก อัล-กุรอานไว้หลายบทตอนดังนี้


5:3  ถูกห้ามแก่เจ้า(มิให้นำมาเป็นอาหาร) คือ (สัตว์)ที่ตายเอง,(ยกเว้นสัตว์น้ำ) เลือด,สุกร,และที่ถูกเปล่งนามอื่น จาก (นามของ) อัลลอฮฺบนมัน (เวลาเชือด),ที่ถูกรัดคอตาย,ที่ถูกตีตาย,(หรือขว้าง)จนตาย,ที่ตก (จากที่สูง)มาตาย,ที่ถูกขวิดตาย,และที่ถูกสัตว์ป่า(หรือล่าเนื้อ) กิน เว้นแต่ที่เจ้าเชือดทัน และที่ถูกเชือดพลีบนแท่นหิน (บูชาเจว็ด) และที่เจ้าเสี่ยงทายโดย (ดึก) ติ้ว เหล่านี้เป็นการฝ่าฝืน...

6:146 (อัลกุรอาน กล่าวว่า)
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ยแท้จริง-น้ำเมา และการพนันการบูชายัญ และการเสี่ยงติ้ว (หรือวิธีอื่น) เป็นสิ่งโสมมจากการกระทำของชัยฏอน (ซาตาน) ดังนั้นจงหันห่างมันเสีย เพื่อเจ้าจะได้ประสบความสำเร็จ.

จากหลักฐานข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ส่วนหนึ่งจากเหตุผลที่อิสลามได้ห้ามการบริโภคสิ่งดังกล่าวนั้นเพราะความโสมม คำนี้แปลจากคำ “ริจญ์สุน” ในภาษาอฺรับซึ่งเป็นภาษาของอัล-กุรอาน มีความหมายใช้ทั้งทางธรรมและนามธรรม เป็นต้นว่า ของเน่าสกปรก ของที่เห็นแล้วน่ารังเกียจ ขยะแขยง โดยเฉพาะสุกรเป็นสัตว์ที่โดยธรรมชาติของมันชอบอยู่อาศัยในที่สกปรกและกินของปฏิกูล เช่น มูลสัตว์ ส่วนความหมายทางนามธรรม เช่น การกุฟรฺ หมายถึง การปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง  การสับปลับโทษทัณฑ์ และหมายถึง บาปกรรมอีกด้วยสิ่งโสมมหรือสภาพต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้อัล-กุรอาน ถือว่าเป็นการกระทำของชัยฏอนหรือซาตานกล่าวคือ การดื่มน้ำเมา เล่นการพนันหรือการบริโภคสิ่งให้โทษต่อสุขภาพและพลานามัยนั้นเป็นพฤติกรรมทั้งสมัยโบราณ และปัจจุบันลงความเห็นว่า เครื่องบริโภคย่อมส่งผลต่อร่างกายและชีวิตจิตใจของผู้บริโภค ซึ่งบางอย่างเสริมสร้างพลานามัย แต่บางอย่างให้โทษและเป็นผลสืบเนื่องไปถึงวิสัย และความประพฤติของผู้บริโภคอีกด้วย

โดยสัญชาตญาณของมนุษย์แล้ว สิ่งโสมมต่างๆนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจขยะแขยงที่ไม่ควรรับและนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือความประพฤติ   ทางแพทย์ปัจจุบันยอมรับว่าการบริโภคเนื้อสุกรเป็นผลทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย เนื่องจากมีเชื้อโรคอย่างหนึ่งที่อยู่อาศัยนั้น ซึ่งมีชื่อว่า Trichine (ตัวจิ๊ด) และอาจมีเชื้อโรคอย่างอื่นอีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึงเช่นเดียวกับที่เชื้อ trichie ที่เพิ่งมาค้นพบในยุดนี้ ซึ่งอัล-กุรอานและท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลฯ ได้สั่งห้ามการบริโภคเนื้อชนิดนี้มาเป็นเวลา 14 ศตวรรษแล้ว ถ้าไม่ใช้อัล-กุรอานและมุหัมมัดถูกส่งมาจากอัลลอฮฺ สุบหฺฯพระเจ้าที่แท้จริง ลำพังมุหัมมัดย่อมไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าอะไรให้คุณ และอะไรที่ให้โทษจากเครื่องบริโภคเหล่านั้น การทำคิตาน (เข้าสุนัต) เป็นคุณประโยชน์อย่างมหาศาลอีกอย่างหนึ่ง ที่ทางการแพทย์เพิ่งยอมรับถึงกับผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอิสลามและศาสนายิวก็ยังถือปฏิบัติกัน มุหัมมัดเป็นคนไม่รู้หนังสือย่อมไม่สามารถนำคำสอนที่แฝงด้วยหลักวิทยาศาสตร์มาสอนได้ นอกจากจะเป็นพระผู้ทรงบังเกิดเอกภพเท่านั้น ที่เป็นพระผู้ทรงสอนมุสลิมได้ยอมเชื่อถืออิสลาม เพราะเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่แต่เชื่อถืออิสลาม โดยตระหนักว่าเป็นบ่าวทาสแห่งอัลลอฮฺ ต้องเชื่อฟังในคำสั่งและรับใช้พระองค์ทำความภักดีต่อพระองค์ แม้ว่าในบางสิ่งหรือหลายสิ่งที่มุสลิมเข้าใจต่อเหตุผลยังไม่ถึง กล่าวกันว่า เนื้อสุกรถ้าได้หุงต้มให้สุกเต็มที่แล้ว จะสามารถทำลายเชื้อนั้น แต่ทฤษฎีนี้ไม่เป็นความจริง เพราะมีนักสำรวจที่เชี่ยวชาญได้ทำสถิติของผู้ป่วยด้วยเชื้อนี้พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในเยอรมัน ตามที่สารานุกลม “ลาโลส” แห่งฝรั่งเศส ได้บันทึกว่า เมื่อเดือนเมษายน 1965 ได้มีพลเมือง ลิบซิก 1,100 คน จากเยอรมันตะวันออก เป็นโรค trichinosis (ทริคคิโนซิส) สืบจากเชื้อสุกร การที่ได้ยกเอาประเทศเยอรมันตะวันออกขึ้นมาเปรียบเทียบในเรื่องนี้ ก็เพราะเยอรมันเป็นประเทศที่นิยมเนื้อสุกรเป็นประเพณีมากกว่าประเทศอื่น ถึงกับสังเกตเห็นได้จากผู้คนที่เดินกินไส้กรอก ปรุงจากเนื้อสุกรไปตามท้องถนน หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งกล่าวว่า มีอาจารย์มหาวิทยาลัยอเมริกันแห่งหนึ่งซึ่งตืดเชื้อนี้ ได้กล่าวแก่เพื่อนของเขาคนหนึ่งว่า “ฉันยินดีที่จะรับเป็นคน ใช้ที่มีร่างกายสมบูรณ์ มากกว่าที่จะมาเป็นอาจารย์มั่งมีที่คนเป็นติดเชื้อจากโรคทริคคิโนซิส” วารสาร “อัล-มุสลิมูน” เล่ม 6 อันดับเดือนกุมภาพันธ์ 1965 เขียนว่า มีนักศึกษามุสลิมจำนวนหนึ่งศึกษาอยู่ในแผนกวิชาเคมีที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในยูโกสลาเวียซึ่งเป็นประเทศบริวารของคอมมิวนิสต์ ศาสตราจารย์ผู้สอนไม่ใช่มุสลิม หัวข้อที่บรรยายขณะนั้นคือ “สอนประกอบของน้ำมันยังสะท้อนต่อร่างกาย” และเมื่อได้กล่าวถึงสุกร เขาได้กล่าวขวัญถึงมันว่าเป็นสัตว์โสมมด้วยไขมันมากที่สุดเพียงไร แล้วทันใดนั้นผู้บรรยายได้หันมาพูดกับนักศึกษามุสลิม ซึ่งใกล้เคียงกันกลุ่มหนึ่งแล้วกล่าวว่า “มุหัมมัด ผู้เป็นศาสนทูตของพวกเธอ เป็นคนหนึ่งที่ฉลาดยิ่ง เพราะได้สั่งห้ามการบริโภคเนื้อสุกร” มันเป็นเพียงเรื่องตลกและขบขันอย่างยิ่งที่ชาวยุโรปโดยทั่วไปและ ชาวยูโกสลาเวีย โดยเฉพาะที่ชอบประณามบุคคลใดที่มีความประพฤติปฏิบัติในทางที่สกปรกและโสมมว่า “เจ้าหมู” แล้วคำที่ใช้ประณามนั้นมาใช้เป็นเครื่องบริโภค ซึ่งเป็นการกระทำกันอยู่ในตัวและทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน มักทำอะไรที่คัดค้านอยู่เสมอแต่คนส่วนมากไม่ค่อยสนใจ โลกเรามีแต่เรื่องวุ่นวาย การที่ได้นำเอาถ้อยคำของบุคคลนอกศาสนาอิสลาม มากล่าวไว้ ณ.ที่นี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงถึงเหตุผล ที่อิสลามห้ามการบริโภคเนื้อสุกร เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักรักษาสุขภาพและอนามัยดังกล่าวแล้ว เพราะอิสลามไม่ใช่ศาสนาตามที่คนทั้งหลายเข้าใจ แต่เป็นระบอบของการดำเนินชีวิตที่แตกต่างไปจากศาสนาอื่น
ทุกด้านดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้น

มุสลิมจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับคำถามข้อหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเขาเดินทางไปยุโรปและอเมริกาและแม้กระทั่งเอเชีย เกี่ยวกับความสำคัญ ของอิสลามการบริโภคเนื้อสุกร และเขาจะตอบคำถามนั้นทุกโอกาสเพื่อป้องกันศาสนาที่ตนนับถือนั้นว่า “เพราะสุกรนั้น เป็นสัตว์ที่สกปรก น่าขยะแขยงและไม่น่าดู จึงห้ามบริโภค” แต่ในทางความคิดของชาวยุโรปแล้ว คำตอบ ที่เป็นอารมณ์และคำพูดที่มีทฤษฎีนั้นหา ได้สร้างความพอใจให้เกิดขึ้นไม่ หากแต่ต้องเป็นคำที่ประกอบด้วยข้อเท็จจริงทางวงการ และตรรกวิทยาที่ได้รับการทดสอบมาแล้วเท่านั้น











เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์