อาถรรพ์ป่าคำชะโนด
ชื่อของป่าคำชะโนดเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศพร้อม ๆ กับข่าวอื้อฉาวเรื่อง “เปรต” แม้อาจารย์กู้ หรือนายกิตติ ปภัสโรบล จอมลวงโลก เจ้าตำหรับสร้างเปรตตุ๋นคน สิ้นฤทธิ์สิ้นเดชถูกจับยัดเข้าห้องขังไปโรงเรียนเปรตเรียบร้อยแล้ว แต่ชื่อของ “ป่าคำชะโนด” ยังอยู่ในความสนใจของผู้คน ว่ามี ลักษณะ ความเป็นมาอย่างไร เพราะป่าแห่งนี้คือสถานที่ที่อาจารย์กู้เลือกเป็นโลเกชั่นในการสร้างสถานการณ์เปรตโดยหลอกลวงผู้คนให้เข้าไปดู จาก : หนังสือพิมพ์ข่าวสด 30 พฤษภาคม 2543 หน้า 1
เกาะคำชะโนดดินแดนที่หลายคนเชื่อว่าทุกตารางนิ้วมีความศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านหลายชั่วอายุคนเชื่อกันว่าใต้คำชะโนดเป็นเมืองบาดาลมีพญานาค ชื่อ พญาศรีสุทโธนาค ปกครองอยู่ มีทางขึ้นลงเชื่อมระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ในดงคำชะโนด ซึ่งเรียกกันว่าบ่อน้ำ
คำชะโนดมีลักษณะเป็นเกาะลอยน้ำ และมีตำนานเกี่ยวกับพญานาคโดยตรง มีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย เป็นเรื่องโด่งดังมาแล้วทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็นเปรตกู้และผีจ้างหนัง
มีบุคคลนิรนามไปติดต่อบริษัทหนังเร่แห่งหนึ่ง ซึ่งรับฉายหนังเร่ในตัวเมืองอุดร ให้เอาหนังกลางแปลงไปฉายที่บ้านวังทองในอัตราค่าจ้างสี่พันบาท โดยมีสัญญาข้อหนึ่งว่าให้ฉายหนังถึงตี 4 เท่านั้น พอถึงตี 4 ให้รีบเก็บข้าวของออกไปจากสถานที่ฉาย อย่าอยู่จนถึงสว่าง เป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างจะแปลกอยู่สักหน่อย แต่ผู้จัดการบริษัทหนังเร่ก็ไม่ติดใจอะไร กลับจากฉายหนังพวกคนงาน เดินทางกลับมาเล่าเรื่องประหลาดให้เจ้าของฟังว่า ได้ไปฉายหนังให้ผีดู
จาก:หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2534
ผีจ้างหนัง : มหรสพโลกวิญญาณ
สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่รู้จักไปทั่วประเทศจากเรื่องเล่าผีจ้างหนังโดยมีบุคคลนิรนามไปว่าจ้างหน่วยฉายหนังเร่แจ่มจันทร์ภาพยนตร์ในตัวเมืองอุดรธานีไปฉายหนังในเกาะคำชะโนด และพบว่าละแวกที่ฉายหนังนั้นไม่มีหมู่บ้านใด ๆ โดยคนในหมู่บ้านใกล้เคียงแถวนั้นก็ยืนยันว่า ไม่ได้เดินทางมาดูหนังคืนนั้น แต่คนฉายหนังก็ยืนยันว่า ตอนดึก ๆ มีคนมานั่งดูหนังที่ฉายเต็มไปหมด
คุณธงชัย แสงชัย เจ้าของหนังเร่บริษัทแจ่มจันทร์ภาพยนตร์กล่าวในบันทึกประวัติคำชะโนดของนายสวาท บุรีเพีย อดีตศึกษาธิการอำเภอบ้านดุง
“เรื่องเกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2532 มีคนมาว่าจ้างให้หนังของผมไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร ค่าจ้างตกลงกันไว้ 4,000 บาท มีหนังฉาย 4 เรื่อง แต่มีสัญญาพิเศษอยู่ 1ข้อ คือ ให้ฉายถึงแค่ตี 4 เท่านั้น ห้ามฉายถึงสว่าง พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย ซึ่งผมได้ฟังก็แปลกใจมากแต่ไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้น เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง จึงไม่ได้ซักถามถึงเหตุผล แต่ปรกติแล้วเวลาไปฉายหนังที่อื่น ชาวบ้านมักจะให้ฉายถึงสว่างทุกเจ้าไป
หลังจากนั้นผมก็ได้ส่งหน่วยฉายหนังไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ ในตอนเช้าพนักงานของผมจำนวน 7 คน ซึ่งกลับมาจากฉายหนังเมื่อคืน ก็เล่าให้ผมกับภรรยาฟังว่า เมื่อคืนไปฉายหนังให้ผีดู
เด็ก ๆ เล่าให้ฟังว่า หนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3 ทุ่ม ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด แต่พอ 3 ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง และคนทั้งหมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่ว ๆ ไป ฉายหนังบู๊ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เฉย ไม่มีเสียงหัวเราะ
อีกอย่างคือ งานนี้ไม่มีร้านขายข้าวของ จำพวกของกินเลย โดยทั่วไปงานอื่น ๆ จะมีร้านขายขนม ขายบุหรี่ พอถึงตี 4 พวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด หายไปเร็วเหลือเกิน พวกเด็ก ๆ เขาก็รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉายหนัง พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อบุหรี่ก่อนเลย เนื่องจากเมื่อคืนไม่มีขาย ชาวบ้านถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา เด็ก ๆ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย
เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืนไปฉายหนังที่ไหนมา ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ชาวบ้านสรุปว่า “สงสัยพวกคุณจะไปฉายหนังที่ใน “ดงคำชะโนด” ซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับที่เชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เอง
พวกเด็ก ๆ ก็เลยเชื่อว่าถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมก็อยากจะพิสูจน์ความจริงจึงเดินทางไปที่บ้านวังทอง ผมไปที่ดงคำชะโนดซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปสัก 3 กิโลเมตร แต่ที่ผมแปลกใจมากเพราะดงไม้ที่ผมมองเห็นอยู่กลางทุ่งนาห่างจากตัวถนนครึ่งกิโลเมตรนั้นเป็นดงไม้ทึบ อย่าว่าแต่ให้ขับรถยนต์จะเข้าไปข้างในเลย แม้แต่จะขึงตั้งจอหนังก็ยังไม่ได้ด้วย
ผมจึงไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้นว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาในหมู่บ้านวังทอง หรือหมู่บ้านใกล้เคียงมีการฉายหนังกันบ้างไหม ทุกคนต่างก็ยืนยันว่า ไม่มีหนังเข้ามาฉายเลย ทำให้ผมงุนงงเป็นอันมาก ทำให้ผมต้องเดินทางกลับไปที่ดงคำชะโนดอีกครั้ง เพื่อหาข้อพิสูจน์ ว่าเด็ก ๆ ได้มาฉายหนังที่นี่จริง ในที่สุดก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่า เด็ก ๆ ของผมได้เข้าไปฉายหนังในดงคำชะโนดจริง นั่นก็คือ ตรงขอบถนนมีรอยรถยนต์แล่นผ่านลงไปในหล่มดินข้างทาง รอยรถนั้น แล่นผ่าเข้าไปในท้องนาซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำขัง ไม่น่าเชื่อเลยว่ารถฉายหนังจะแล่นเข้าไปในดงคำชะโนดนั้นได้
ด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคุณธงชัยได้ไปนมัสการ หลวงปู่คำตา สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศิริสุทโธ คำชะโนด ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ดงคำชะโนด และได้ไต่ถามถึงเรื่องนี้กับเจ้าอาวาส ซึ่งท่านก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า
“คงเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นเทศกาลของบรรดาวิญญาณซึ่งอาศัยอยู่ในดงไม้นี้ จึงได้ว่าจ้างให้หนังมาฉายฉลองเหมือนพวกมนุษย์ วิญญาณเหล่านั้นชาวอีสานเรียกว่า “ ผีบังบด” ในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด แต่ในป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ ๆ เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามาทั้ง ๆ ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย”
“ในขณะที่หลวงปู่คำตาเล่าเรื่องนี้อยู่ ก็ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งสีดำสนิท ท่าทางน่ากลัวเลื้อยเข้ามานอนขดอยู่ตรงหน้าของท่าน ผมและภรรยาตกใจมาก แต่หลวงปู่คำตาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก คงจะเป็นวิญญาณของผู้ที่อาศัยอยู่ในดงไม้ไม่ต้องการให้ท่านเล่าหรือเปิดเผยอะไรต่อไป จึงได้ส่งให้งูตัวนี้มาปรากฏเพื่อเป็นการเตือน หลังจากนั้นท่านจึงขอตัวไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีอะไรที่แปลกน่าสนใจอีกมาก เกี่ยวกับดงคำชะโนดนี้”